เทนส์ (กาล) ตามหลักไวยากรณ์
คือวิธีการบอกเวลาในภาษาต่าง ๆ
โดยไม่ต้องระบุช่วงเวลาชัดเจน
แต่จะผันคำกริยา เพื่อบอกเวลา
ที่เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแทน
แล้วภาษาอังกฤษ
มีกี่กาลล่ะ
หากมองผ่าน ๆ
คำตอบนั้นก็ง่ายมาก
ก็ต้องมีอดีต
ปัจจุบัน
และอนาคตน่ะสิ
แต่ด้วยโครงสร้างไวยากรณ์
ที่เรียกว่า "การณ์ลักษณะ"
ช่วงเวลาหลัก ๆ แต่ละช่วง
จึงแยกย่อยได้ชัดเจนขึ้นอีก
การณ์ลักษณะแบ่ง 4 ประเภท
อย่างการณ์ลักษณะ
continuous หรือ progressive
การกระทำจะยัง
ดำเนินอยู่ ณ ขณะที่พูดถึง
การณ์ลักษณะ perfect
จะใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้ว
ส่วนแบบ perfect progressive
เป็นโครงสร้างผสมผสาน
ใช้กล่าวถึงส่วนที่จบไปแล้ว
ของเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อเนื่อง
และประเภทสุดท้าย
คือการณ์ลักษณะ simple
ซึ่งเป็นโครงสร้างเทนส์พื้นฐาน
ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่เจาะจง
ว่าเกิดต่อเนื่องหรือจบลงแล้ว
อธิบายแบบนี้คงเข้าใจยากหน่อย
มาดูวิธีการใช้จริงกันดีกว่า
สมมติเพื่อนบอกคุณว่า
ไปทำภารกิจลับทางทะเลมา
เพื่อหาหลักฐานของสัตว์ทะเลลึกลับ
ถึงแม้กาลที่ใช้จะกำหนดว่า
เหตุการณ์หลักเกิดในอดีต
แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว
เรายังใช้กาลอื่น ๆ ได้อีกมากมาย
เช่น หากเพื่อนเล่าว่า
เจ้าสัตว์ลึกลับเข้าจู่โจมเรือ
ก็ต้องใช้ past simple
การณ์ลักษณะพื้นฐานที่สุด
ซึ่งไม่ได้บอกรายละเอียดชัดเจนนัก
หรือตอนที่มันจู่โจม
พวกเขากำลังนอนหลับอยู่
ถือเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องในช่วงเวลานั้น
เพื่อนคุณอาจเล่าด้วยว่า
เดินทางออกจากเกาะแนนทักเก็ตแล้ว
เพื่อบอกเล่าเรื่องราว
ที่จบไปแล้วก่อนหน้านั้น
นี่คือตัวอย่างของ
การณ์ลักษณะ past perfect
หรือหากเล่าว่าต้องล่องเรือ
เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์แล้ว
ก็จะหมายถึงเหตุการณ์
ที่เกิดต่อเนื่องมาจนถึงช่วงเวลานั้น
และหากตอนนี้ เพื่อนบอกคุณว่า
วันนี้พวกเขายังตามหาสัตว์ลึกลับอยู่
นั่นก็คือการกระทำแบบ
present simple เทนส์นั่นเอง
หรือหากพวกเขากำลังเตรียมตัว
สำหรับภารกิจต่อไป ณ ขณะที่พูด
แถมยังสร้างเรือดำน้ำสำเร็จ
เท่ากับว่ามีเรื่องหนึ่งจบลงแล้ว
และหากพวกเขาศึกษาหลักฐาน
การพบเห็นเจ้าสัตว์ลึกลับมาระยะหนึ่งแล้ว
นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำมาสักระยะ
และกำลังทำอยู่จนถึงตอนนี้
เราต้องใช้เทนส์
present perfect progressive
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในภารกิจต่อไป
เรารู้อยู่ว่ามันยังไม่เกิดขึ้น
เพราะจะออกเดินทางในสัปดาห์หน้า
แบบนี้ถือเป็น future simple
พวกเขาจะตามหา
เจ้าสัตว์ลึกลับนี้สักระยะหนึ่ง
เหตุการณ์ต่อเนื่องจึงยังเกิดต่อไป
เพื่อน ๆ บอกคุณด้วยว่าอีก 1 เดือนข้างหน้า
เรือดำน้ำจะไปถึงห้วงทะเลลึก
เป็นการคาดเดาอย่างมั่นใจ
ว่าจะทำตามเป้าหมายสำเร็จ
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ในอนาคต
ซึ่งเป็นช่วงที่เพื่อนคุณ
จะใช้เวลาสำรวจราว ๆ 3 สัปดาห์
จึงใช้เทนส์
future perfect progressive นั่นเอง
ประเด็นสำคัญ
ของการใช้กาลต่าง ๆ
อยู่ที่แต่ละประโยค
จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาจำเพาะ
ไม่ว่าจะเป็น อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
ส่วนการณ์ลักษณะจะบอก
เหตุการณ์เทียบจากช่วงเวลาหลัก
ถึงลักษณะของการกระทำ
รวม ๆ แล้วจึงเกิดเป็น
12 กาลในภาษาอังกฤษ
แล้วภาษาอื่น ๆ ล่ะ
ภาษาฝรั่งเศส
ภาษาสวาฮีลี
และภาษารัสเซีย
จะคล้ายกับภาษาอังกฤษ
ส่วนภาษาอื่น ๆ จะบอก
และแบ่งช่วงเวลาต่างออกไป
บางภาษามีกาลน้อย
อย่างภาษาญี่ปุ่น
ที่จะแบ่งช่วงเวลาในอดีต
ออกจากช่วงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อดีต
ภาษาบูลิและตูกังเบสี
จะแบ่งแยกเฉพาะอนาคต
และที่ไม่ใช่อนาคตเท่านั้น
ภาษาจีนกลางไม่ผันกริยาตามกาล
มีเฉพาะการณ์ลักษณะเท่านั้น
ตรงกันข้าม ภาษายากวา
กลับแบ่งกาลอดีตเป็นหลายระดับ
แยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง
หลายสัปดาห์ หรือหลายปี
บางภาษา กาลจะใช้ร่วมกับคำแสดงอารมณ์
เพื่อแสดงความเร่งด่วน
ความจำเป็น
หรือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
การแปลภาษาจึงเป็นเรื่องยาก
แต่ก็ไม่ถึงกับแปลไม่ได้หรอกนะ
คนที่พูดภาษาที่ไม่มีกาลชัดเจน
ก็ยังเล่าเรื่องราวได้
ด้วยการใช้กริยาช่วย
อย่างคำว่า would หรือ did
หรือไม่ก็จะระบุช่วงเวลาไปเลย
ความแตกต่างของภาษาต่าง ๆ
เป็นเพียงวิธีการบอกเล่า
เรื่องเดียวกันที่แตกต่างรึเปล่า
หรือโครงสร้างที่ต่างกัน
สะท้อนแนวคิดที่คนเรามีต่อโลกต่างกัน
ไม่เว้นแม้กระทั่ง เวลา
ถ้าเช่นนั้น ยังมีการรับรู้เวลา
แบบอื่น ๆ อีกกี่วิธีกันนะ