1 00:00:07,073 --> 00:00:10,273 เทนส์ (กาล) ตามหลักไวยากรณ์ คือวิธีการบอกเวลาในภาษาต่าง ๆ 2 00:00:10,273 --> 00:00:12,734 โดยไม่ต้องระบุช่วงเวลาชัดเจน 3 00:00:12,734 --> 00:00:17,014 แต่จะผันคำกริยา เพื่อบอกเวลา ที่เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นแทน 4 00:00:17,014 --> 00:00:20,484 แล้วภาษาอังกฤษ มีกี่กาลล่ะ 5 00:00:20,484 --> 00:00:22,685 หากมองผ่าน ๆ คำตอบนั้นก็ง่ายมาก 6 00:00:22,685 --> 00:00:23,584 ก็ต้องมีอดีต 7 00:00:23,584 --> 00:00:24,385 ปัจจุบัน 8 00:00:24,385 --> 00:00:25,805 และอนาคตน่ะสิ 9 00:00:25,805 --> 00:00:28,365 แต่ด้วยโครงสร้างไวยากรณ์ ที่เรียกว่า "การณ์ลักษณะ" 10 00:00:28,365 --> 00:00:32,034 ช่วงเวลาหลัก ๆ แต่ละช่วง จึงแยกย่อยได้ชัดเจนขึ้นอีก 11 00:00:32,034 --> 00:00:34,144 การณ์ลักษณะแบ่ง 4 ประเภท 12 00:00:34,144 --> 00:00:36,555 อย่างการณ์ลักษณะ continuous หรือ progressive 13 00:00:36,555 --> 00:00:39,885 การกระทำจะยัง ดำเนินอยู่ ณ ขณะที่พูดถึง 14 00:00:39,885 --> 00:00:43,905 การณ์ลักษณะ perfect จะใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้ว 15 00:00:43,905 --> 00:00:46,437 ส่วนแบบ perfect progressive เป็นโครงสร้างผสมผสาน 16 00:00:46,437 --> 00:00:49,967 ใช้กล่าวถึงส่วนที่จบไปแล้ว ของเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อเนื่อง 17 00:00:49,967 --> 00:00:52,446 และประเภทสุดท้าย คือการณ์ลักษณะ simple 18 00:00:52,446 --> 00:00:55,945 ซึ่งเป็นโครงสร้างเทนส์พื้นฐาน ของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต 19 00:00:55,945 --> 00:00:59,936 ใช้กับเหตุการณ์ที่ไม่เจาะจง ว่าเกิดต่อเนื่องหรือจบลงแล้ว 20 00:00:59,936 --> 00:01:03,616 อธิบายแบบนี้คงเข้าใจยากหน่อย มาดูวิธีการใช้จริงกันดีกว่า 21 00:01:03,616 --> 00:01:06,827 สมมติเพื่อนบอกคุณว่า ไปทำภารกิจลับทางทะเลมา 22 00:01:06,827 --> 00:01:09,567 เพื่อหาหลักฐานของสัตว์ทะเลลึกลับ 23 00:01:09,567 --> 00:01:12,587 ถึงแม้กาลที่ใช้จะกำหนดว่า เหตุการณ์หลักเกิดในอดีต 24 00:01:12,587 --> 00:01:15,066 แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว เรายังใช้กาลอื่น ๆ ได้อีกมากมาย 25 00:01:15,066 --> 00:01:17,658 เช่น หากเพื่อนเล่าว่า เจ้าสัตว์ลึกลับเข้าจู่โจมเรือ 26 00:01:17,658 --> 00:01:20,617 ก็ต้องใช้ past simple การณ์ลักษณะพื้นฐานที่สุด 27 00:01:20,617 --> 00:01:23,287 ซึ่งไม่ได้บอกรายละเอียดชัดเจนนัก 28 00:01:23,287 --> 00:01:25,577 หรือตอนที่มันจู่โจม พวกเขากำลังนอนหลับอยู่ 29 00:01:25,577 --> 00:01:29,009 ถือเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องในช่วงเวลานั้น 30 00:01:29,009 --> 00:01:32,387 เพื่อนคุณอาจเล่าด้วยว่า เดินทางออกจากเกาะแนนทักเก็ตแล้ว 31 00:01:32,387 --> 00:01:35,338 เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ที่จบไปแล้วก่อนหน้านั้น 32 00:01:35,338 --> 00:01:38,088 นี่คือตัวอย่างของ การณ์ลักษณะ past perfect 33 00:01:38,088 --> 00:01:41,198 หรือหากเล่าว่าต้องล่องเรือ เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์แล้ว 34 00:01:41,198 --> 00:01:44,389 ก็จะหมายถึงเหตุการณ์ ที่เกิดต่อเนื่องมาจนถึงช่วงเวลานั้น 35 00:01:44,389 --> 00:01:48,558 และหากตอนนี้ เพื่อนบอกคุณว่า วันนี้พวกเขายังตามหาสัตว์ลึกลับอยู่ 36 00:01:48,558 --> 00:01:50,840 นั่นก็คือการกระทำแบบ present simple เทนส์นั่นเอง 37 00:01:50,840 --> 00:01:55,708 หรือหากพวกเขากำลังเตรียมตัว สำหรับภารกิจต่อไป ณ ขณะที่พูด 38 00:01:55,708 --> 00:02:00,158 แถมยังสร้างเรือดำน้ำสำเร็จ เท่ากับว่ามีเรื่องหนึ่งจบลงแล้ว 39 00:02:00,158 --> 00:02:04,803 และหากพวกเขาศึกษาหลักฐาน การพบเห็นเจ้าสัตว์ลึกลับมาระยะหนึ่งแล้ว 40 00:02:04,803 --> 00:02:08,267 นั่นก็เป็นสิ่งที่ทำมาสักระยะ และกำลังทำอยู่จนถึงตอนนี้ 41 00:02:08,267 --> 00:02:11,469 เราต้องใช้เทนส์ present perfect progressive 42 00:02:11,469 --> 00:02:13,722 แล้วจะเกิดอะไรขึ้นในภารกิจต่อไป 43 00:02:13,722 --> 00:02:18,138 เรารู้อยู่ว่ามันยังไม่เกิดขึ้น เพราะจะออกเดินทางในสัปดาห์หน้า 44 00:02:18,138 --> 00:02:19,596 แบบนี้ถือเป็น future simple 45 00:02:19,596 --> 00:02:22,730 พวกเขาจะตามหา เจ้าสัตว์ลึกลับนี้สักระยะหนึ่ง 46 00:02:22,730 --> 00:02:25,899 เหตุการณ์ต่อเนื่องจึงยังเกิดต่อไป 47 00:02:25,899 --> 00:02:30,517 เพื่อน ๆ บอกคุณด้วยว่าอีก 1 เดือนข้างหน้า เรือดำน้ำจะไปถึงห้วงทะเลลึก 48 00:02:30,517 --> 00:02:31,989 เป็นการคาดเดาอย่างมั่นใจ 49 00:02:31,989 --> 00:02:35,719 ว่าจะทำตามเป้าหมายสำเร็จ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ในอนาคต 50 00:02:35,719 --> 00:02:39,059 ซึ่งเป็นช่วงที่เพื่อนคุณ จะใช้เวลาสำรวจราว ๆ 3 สัปดาห์ 51 00:02:39,059 --> 00:02:41,409 จึงใช้เทนส์ future perfect progressive นั่นเอง 52 00:02:41,409 --> 00:02:44,009 ประเด็นสำคัญ ของการใช้กาลต่าง ๆ 53 00:02:44,009 --> 00:02:47,631 อยู่ที่แต่ละประโยค จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาจำเพาะ 54 00:02:47,631 --> 00:02:50,900 ไม่ว่าจะเป็น อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต 55 00:02:50,900 --> 00:02:54,159 ส่วนการณ์ลักษณะจะบอก เหตุการณ์เทียบจากช่วงเวลาหลัก 56 00:02:54,159 --> 00:02:56,369 ถึงลักษณะของการกระทำ 57 00:02:56,369 --> 00:03:00,059 รวม ๆ แล้วจึงเกิดเป็น 12 กาลในภาษาอังกฤษ 58 00:03:00,059 --> 00:03:01,940 แล้วภาษาอื่น ๆ ล่ะ 59 00:03:01,940 --> 00:03:03,219 ภาษาฝรั่งเศส 60 00:03:03,219 --> 00:03:04,080 ภาษาสวาฮีลี 61 00:03:04,080 --> 00:03:07,069 และภาษารัสเซีย จะคล้ายกับภาษาอังกฤษ 62 00:03:07,069 --> 00:03:09,811 ส่วนภาษาอื่น ๆ จะบอก และแบ่งช่วงเวลาต่างออกไป 63 00:03:09,811 --> 00:03:12,979 บางภาษามีกาลน้อย อย่างภาษาญี่ปุ่น 64 00:03:12,979 --> 00:03:16,730 ที่จะแบ่งช่วงเวลาในอดีต ออกจากช่วงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อดีต 65 00:03:16,730 --> 00:03:18,482 ภาษาบูลิและตูกังเบสี 66 00:03:18,482 --> 00:03:21,742 จะแบ่งแยกเฉพาะอนาคต และที่ไม่ใช่อนาคตเท่านั้น 67 00:03:21,742 --> 00:03:26,192 ภาษาจีนกลางไม่ผันกริยาตามกาล มีเฉพาะการณ์ลักษณะเท่านั้น 68 00:03:26,192 --> 00:03:31,622 ตรงกันข้าม ภาษายากวา กลับแบ่งกาลอดีตเป็นหลายระดับ 69 00:03:31,622 --> 00:03:35,602 แยกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมง หลายสัปดาห์ หรือหลายปี 70 00:03:35,602 --> 00:03:39,592 บางภาษา กาลจะใช้ร่วมกับคำแสดงอารมณ์ เพื่อแสดงความเร่งด่วน 71 00:03:39,592 --> 00:03:40,706 ความจำเป็น 72 00:03:40,706 --> 00:03:42,902 หรือความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ 73 00:03:42,902 --> 00:03:45,966 การแปลภาษาจึงเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ถึงกับแปลไม่ได้หรอกนะ 74 00:03:45,966 --> 00:03:50,215 คนที่พูดภาษาที่ไม่มีกาลชัดเจน ก็ยังเล่าเรื่องราวได้ 75 00:03:50,215 --> 00:03:53,767 ด้วยการใช้กริยาช่วย อย่างคำว่า would หรือ did 76 00:03:53,767 --> 00:03:55,876 หรือไม่ก็จะระบุช่วงเวลาไปเลย 77 00:03:55,876 --> 00:03:58,085 ความแตกต่างของภาษาต่าง ๆ 78 00:03:58,085 --> 00:04:01,902 เป็นเพียงวิธีการบอกเล่า เรื่องเดียวกันที่แตกต่างรึเปล่า 79 00:04:01,902 --> 00:04:06,436 หรือโครงสร้างที่ต่างกัน สะท้อนแนวคิดที่คนเรามีต่อโลกต่างกัน 80 00:04:06,436 --> 00:04:08,248 ไม่เว้นแม้กระทั่ง เวลา 81 00:04:08,248 --> 00:04:12,498 ถ้าเช่นนั้น ยังมีการรับรู้เวลา แบบอื่น ๆ อีกกี่วิธีกันนะ