WEBVTT 00:00:01.000 --> 00:00:03.000 วันนี้ ผมอยากจะพูดถึง 00:00:03.000 --> 00:00:06.000 ความไร้เหตุผลที่คาดการณ์ได้ 00:00:06.000 --> 00:00:10.000 ความสนใจที่ผมมีต่อความไร้เหตุผลเหล่านี้ 00:00:10.000 --> 00:00:13.000 เริ่มต้นเมื่อหลายปีก่อนในโรงพยาบาล 00:00:13.000 --> 00:00:17.000 ผมถูกไฟครอกอย่างรุนแรง 00:00:17.000 --> 00:00:20.000 และถ้าคุณต้องอยู่โรงพยาบาลนานๆ 00:00:20.000 --> 00:00:23.000 คุณจะเห็นความไร้เหตุผลมากมายหลายอย่าง 00:00:23.000 --> 00:00:28.000 และสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในแผนกแผลไฟไหม้ 00:00:28.000 --> 00:00:32.000 ก็คือวิธีที่พยาบาลดึงผ้าพันแผลออกจากตัวผม 00:00:33.000 --> 00:00:35.000 ถ้าวันนึงคุณต้องให้ใครดึงผ้าพันแผลออกจากตัวคุณ 00:00:35.000 --> 00:00:38.000 คุณคงสงสัยว่า วิธีไหนคือวิธีที่ถูกต้อง 00:00:38.000 --> 00:00:42.000 ดึงออกเร็วๆ -- ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ความเจ็บปวดรุนแรง -- 00:00:42.000 --> 00:00:44.000 หรือดึงผ้าพันแผลออกช้าๆ 00:00:44.000 --> 00:00:48.000 คุณจะเจ็บนาน แต่ไม่รุนแรง 00:00:48.000 --> 00:00:51.000 แล้ววิธีไหนคือวิธีที่ถูกต้องล่ะ? NOTE Paragraph 00:00:51.000 --> 00:00:55.000 พยาบาลในแผนกคิดว่าวิธีที่ถูกต้อง 00:00:55.000 --> 00:00:58.000 คือแบบแรก ดังนั้น เขาจึงใช้วิธีจับแน่นๆ แล้วดึง 00:00:58.000 --> 00:01:00.000 แล้วเขาก็จับแน่นๆ แล้วก็ดึงอีก 00:01:00.000 --> 00:01:04.000 และเพราะว่ากว่าร้อยละ 70 ของร่างกายผมถูกไฟครอก มันจึงใช้เวลากว่าชั่วโมง 00:01:04.000 --> 00:01:07.000 คุณคงนึกภาพออก 00:01:07.000 --> 00:01:11.000 ผมเกลียดช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสแบบนี้ 00:01:11.000 --> 00:01:13.000 ผมจึงพยายามใช้เหตุผลบอกพยาบาลว่า 00:01:13.000 --> 00:01:14.000 "ทำไมเราไม่ลองวิธีอื่นบ้างครับ? 00:01:14.000 --> 00:01:16.000 ทำไมไม่ลองดึงช้าๆ -- 00:01:16.000 --> 00:01:21.000 อาจจะใช้เวลาสองชั่วโมงแทนที่จะเป็นชั่วโมงเดียว -- ความเจ็บจะได้ลดลง? 00:01:21.000 --> 00:01:23.000 คุณพยาบาลบอกผมสองอย่าง 00:01:23.000 --> 00:01:27.000 พวกเขาบอกผมว่า พวกเขารู้วิธีการปฏิบัติต่อคนไข้ที่ถูกต้อง -- 00:01:27.000 --> 00:01:30.000 ว่านี่คือวิธีที่จะทำให้เจ็บน้อยที่สุด -- 00:01:30.000 --> 00:01:33.000 และยังบอกอีกว่า คำว่า patient (คนไข้ / ความอดทน) ไม่ได้แปลว่า 00:01:33.000 --> 00:01:35.000 ให้คำแนะนำหรือก้าวก่าย... 00:01:35.000 --> 00:01:38.000 อ้อ นี่ไม่ใช่ในภาษาฮีบรูเท่านั้นนะ 00:01:38.000 --> 00:01:41.000 มันมีความหมายอย่างนี้ในทุกๆ ภาษา NOTE Paragraph 00:01:41.000 --> 00:01:45.000 ดังนั้น คุณคงรู้ว่า ผมทำอะไรมากไม่ได้ 00:01:45.000 --> 00:01:48.000 และพวกพยาบาลก็ทำแบบเดิมที่เคยทำต่อไป 00:01:48.000 --> 00:01:50.000 สามปีต่อมา เมื่อผมออกจากโรงพยาบาล 00:01:50.000 --> 00:01:53.000 ผมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย 00:01:53.000 --> 00:01:56.000 และหนึ่งในบทเรียนที่น่าสนใจที่สุดเท่าที่ผมเคยเรียนมา 00:01:56.000 --> 00:01:58.000 ก็คือวิธีวิจัยแบบทดลอง 00:01:58.000 --> 00:02:02.000 ซึ่งถ้าคุณมีคำถาม คุณสามารถสร้างแบบจำลองของคำถามเหล่านี้ 00:02:02.000 --> 00:02:06.000 ในรูปแบบที่เป็นนามธรรมบางอย่าง จากนั้นก็ศึกษาหาคำตอบต่อคำถามนั้น 00:02:06.000 --> 00:02:08.000 และเราก็จะได้เรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับโลก NOTE Paragraph 00:02:08.000 --> 00:02:10.000 นั่นล่ะครับคือสิ่งที่ผมทำ 00:02:10.000 --> 00:02:11.000 ผมยังคงสนใจ 00:02:11.000 --> 00:02:13.000 ในคำถามเกี่ยวกับการดึงผ้าพันแผลออกจากตัวคนไข้ 00:02:13.000 --> 00:02:16.000 ในช่วงเริ่มต้น ผมไม่ได้มีเงินมากนัก 00:02:16.000 --> 00:02:20.000 ผมเลยไปที่ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง และซื้อคีมของช่างไม้มา 00:02:20.000 --> 00:02:24.000 จากนั้น ผมก็พาคนมาที่แล็บ และเอาคีมหนีบนิ้วของพวกเขา 00:02:24.000 --> 00:02:26.000 ขบนิ้วพวกเขาจนเจ็บ NOTE Paragraph 00:02:26.000 --> 00:02:28.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:02:28.000 --> 00:02:31.000 ผมบีบนิ้วผู้ร่วมการทดลองนานบ้าง สั้นบ้าง 00:02:31.000 --> 00:02:33.000 ลองบีบให้เจ็บน้อยแล้วค่อยเพิ่มขึ้น แบบที่เจ็บมากก่อนแล้วน้อยลง 00:02:33.000 --> 00:02:37.000 ทั้งมีหยุดพักและไม่หยุด -- มีทุกรูปแบบของความเจ็บ 00:02:37.000 --> 00:02:39.000 พอทำให้เขาเจ็บตัวกันแล้ว ผมก็จะถามพวกเขาว่า 00:02:39.000 --> 00:02:41.000 เจ็บไหม เจ็บยังไง 00:02:41.000 --> 00:02:43.000 หรือถ้าให้เลือกระหว่างความเจ็บสองอย่างหลังสุด 00:02:43.000 --> 00:02:45.000 คุณจะเลือกแบบไหน? NOTE Paragraph 00:02:45.000 --> 00:02:48.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:02:48.000 --> 00:02:51.000 ผมทำแบบนี้อยู่พักหนึ่ง NOTE Paragraph 00:02:51.000 --> 00:02:53.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:02:53.000 --> 00:02:57.000 แล้วจากนั้น, ก็เหมือนกับโครงการวิชาการดีๆ ทั่วไป, ผมได้เงินสนับสนุนมากขึ้น 00:02:57.000 --> 00:02:59.000 ผมเลยเปลี่ยนไปใช้เสียง เครื่องช็อคไฟฟ้า -- 00:02:59.000 --> 00:03:04.000 ผมทำชุดสร้างความเจ็บปวดที่สามารถสร้างความเจ็บปวดให้คนที่สวมใส่ได้มากขึ้นไปอีก NOTE Paragraph 00:03:04.000 --> 00:03:08.000 หลังจากทำการทดลองพวกนี้เสร็จ 00:03:08.000 --> 00:03:11.000 สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ พวกพยาบาลคิดผิด 00:03:11.000 --> 00:03:14.000 นี่คือคนที่น่ายกย่องด้วยความตั้งใจที่ดี 00:03:14.000 --> 00:03:16.000 และมีประสบการณ์หลากหลาย แต่กระนั้น 00:03:16.000 --> 00:03:20.000 พวกเขาเข้าใจผิดอยู่ตลอดเวลา 00:03:20.000 --> 00:03:23.000 เพราะเราไม่ได้รับรู้ระยะเวลา 00:03:23.000 --> 00:03:25.000 แบบเดียวกับที่เรารับรู้ความรุนแรงของความเจ็บปวด 00:03:25.000 --> 00:03:29.000 ผมจะเจ็บน้อยลง ถ้าช่วงเวลามันนานขึ้น 00:03:29.000 --> 00:03:31.000 และความเจ็บมันรุนแรงน้อยกว่า 00:03:31.000 --> 00:03:34.000 เขาควรจะเริ่มดึงผ้าพันแผลที่หน้าของผมก่อน 00:03:34.000 --> 00:03:36.000 ซึ่งเป็นที่ที่เจ็บมากที่สุด แล้วค่อยไปแกะที่ขา 00:03:36.000 --> 00:03:39.000 ทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ 00:03:39.000 --> 00:03:40.000 ซึ่งมันจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บน้อยลงด้วย 00:03:40.000 --> 00:03:42.000 และมันก็จะดีกว่าด้วย 00:03:42.000 --> 00:03:44.000 ถ้ามีช่วงพักในช่วงกลางๆ ให้หายเจ็บสักหน่อย 00:03:44.000 --> 00:03:46.000 ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ควรทำ 00:03:46.000 --> 00:03:49.000 แต่พยาบาลไม่เคยคิดจะทำ NOTE Paragraph 00:03:49.000 --> 00:03:50.000 จากจุดนี้ ผมเริ่มคิดว่า 00:03:50.000 --> 00:03:53.000 พยาบาลเป็นคนกลุ่มเดียวในโลกหรือเปล่า 00:03:53.000 --> 00:03:56.000 ที่ตัดสินใจอะไรผิดพลาด หรือมันเกิดกับคนทั่วไป? 00:03:56.000 --> 00:03:58.000 ที่จริงแล้ว มันเกิดขึ้นกับคนทั่วไปครับ 00:03:58.000 --> 00:04:01.000 คนเราตัดสินใจผิดพลาดมากมาย 00:04:01.000 --> 00:04:06.000 ผมอยากจะยกตัวอย่างหนึ่งของความไร้เหตุผลพวกนี้ 00:04:06.000 --> 00:04:09.000 นั่นก็คือ การทุจริต 00:04:09.000 --> 00:04:11.000 เหตุผลที่ผมยกเอาเรื่องการทุจริตมาพูดก็เพราะมันน่าสนใจ 00:04:11.000 --> 00:04:13.000 แต่ผมว่ามันบอกอะไรเราบางอย่าง 00:04:13.000 --> 00:04:16.000 เกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน 00:04:16.000 --> 00:04:19.000 ความสนใจเรื่องการทุจริตของผมเริ่มมาจาก 00:04:19.000 --> 00:04:21.000 กรณีของเอนรอนที่เป็นข่าวอื้อฉาวอย่างรวดเร็ว 00:04:21.000 --> 00:04:24.000 ผมเริ่มคิดว่า มันเกิดอะไรขึ้น 00:04:24.000 --> 00:04:25.000 นี่มันเป็นเพียงแค่ 00:04:25.000 --> 00:04:28.000 ปลาเน่าตัวเดียว ที่ทำอะไรแย่ๆ แบบนี้ 00:04:28.000 --> 00:04:30.000 หรือจริงๆ มันเป็นโรคระบาด 00:04:30.000 --> 00:04:34.000 คนมากมายก็ทำแบบเดียวกันนี้ NOTE Paragraph 00:04:34.000 --> 00:04:38.000 ผมก็เลยออกแบบการทดลองง่ายๆ 00:04:38.000 --> 00:04:39.000 ผมทำอย่างนี้ครับ 00:04:39.000 --> 00:04:42.000 ถ้าคุณเข้าร่วมการทดลอง ผมจะให้กระดาษคุณหนึ่งแผ่น 00:04:42.000 --> 00:04:46.000 กับโจทย์เลขง่ายๆ 20 ข้อที่คุณแก้ได้แน่นอน 00:04:46.000 --> 00:04:48.000 แต่ผมจะให้เวลาคุณสั้นๆ แบบทำไม่ทัน 00:04:48.000 --> 00:04:50.000 เมื่อห้านาทีหมดลง ผมจะบอกว่า 00:04:50.000 --> 00:04:53.000 "คืนกระดาษให้ผม แล้วผมจะจ่ายคุณข้อละหนึ่งดอลลาร์" 00:04:53.000 --> 00:04:57.000 ทุกคนทำตามนี้ แล้วผมก็จ่ายให้พวกเขาประมาณสี่ดอลลาร์เป็นการตอบแทน 00:04:57.000 --> 00:04:59.000 เฉลี่ยก็คือพวกเขาทำได้สี่ข้อ 00:04:59.000 --> 00:05:02.000 กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมเปิดโอกาสให้เขาโกง 00:05:02.000 --> 00:05:03.000 ผมส่งกระดาษให้ผู้ร่วมการทดลองคนละแผ่น 00:05:03.000 --> 00:05:05.000 เมื่อครบห้านาที ผมจะบอกว่า 00:05:05.000 --> 00:05:06.000 "ฉีกกระดาษแผ่นนั้น 00:05:06.000 --> 00:05:09.000 แล้วเก็บมันใส่ในกระเป๋าหรือเป้ของคุณ 00:05:09.000 --> 00:05:12.000 จากนั้นมาบอกผมว่าคุณทำถูกกี่ข้อ" 00:05:12.000 --> 00:05:15.000 คราวนี้พวกเขาทำถูกเฉลี่ยเจ็ดข้อแฮะ 00:05:15.000 --> 00:05:20.000 นี่แสดงว่ามันไม่ใช่แค่ปลาเน่าไม่กี่ตัว -- 00:05:20.000 --> 00:05:23.000 หรือคนแค่ไม่กี่คนโกงมากๆ 00:05:23.000 --> 00:05:26.000 ในทางกลับกัน มีคนจำนวนมากที่โกงเล็กๆ น้อยๆ ด้วย NOTE Paragraph 00:05:26.000 --> 00:05:29.000 ในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว 00:05:29.000 --> 00:05:32.000 การโกงคือการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนแบบง่ายๆ 00:05:32.000 --> 00:05:34.000 เราจะคิดว่า โอกาสที่จะถูกจับได้มีมากแค่ไหน? 00:05:34.000 --> 00:05:37.000 จะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่จากการโกง? 00:05:37.000 --> 00:05:39.000 และถ้าโดนจับได้จะถูกลงโทษอย่างไร? 00:05:39.000 --> 00:05:41.000 จากนั้นก็ชั่งน้ำหนักเอา 00:05:41.000 --> 00:05:43.000 คุณแค่วิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนแบบง่ายๆ 00:05:43.000 --> 00:05:46.000 คุณก็ตัดสินใจได้แล้วว่าคุณจะก่ออาชญากรรมหรือไม่ 00:05:46.000 --> 00:05:48.000 ดังนั้น เราพยายามที่จะทดสอบสิ่งเหล่านี้ 00:05:48.000 --> 00:05:52.000 กับผู้ร่วมการทดลองบางกลุ่ม เราเพิ่มลดจำนวนเงินที่เขามีโอกาสโกงได้ 00:05:52.000 --> 00:05:53.000 เพื่อดูว่าเขาจะโกงมากน้อยสักแค่ไหน 00:05:53.000 --> 00:05:56.000 เราจ่ายตั้งแต่ 10 เซนต์ต่อข้อ, 50 เซนต์, 00:05:56.000 --> 00:05:59.000 1 ดอลลาร์, 5 ดอลลาร์, 10 ดอลลาร์ต่อข้อที่ทำถูก NOTE Paragraph 00:05:59.000 --> 00:06:03.000 คุณอาจคิดว่า เมื่อจำนวนเงินมากขึ้น 00:06:03.000 --> 00:06:06.000 คนก็น่าจะโกงมากขึ้น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป 00:06:06.000 --> 00:06:09.000 มีคนจำนวนมากที่โกงเฉพาะตอนที่เงินน้อยๆ 00:06:09.000 --> 00:06:12.000 แล้วเรื่องโอกาสที่จะโดนจับได้ล่ะ? 00:06:12.000 --> 00:06:14.000 ในบางกลุ่มเราให้ฉีกกระดาษแค่ครึ่งเดียว 00:06:14.000 --> 00:06:15.000 แปลว่ายังมีโอกาสโดนจับได้ 00:06:15.000 --> 00:06:17.000 บางกลุ่มเราให้ฉีกทั้งแผ่น 00:06:17.000 --> 00:06:20.000 บางคนฉีกทุกอย่าง เดินออกจากห้อง 00:06:20.000 --> 00:06:23.000 แล้วไปหยิบเงินเอาเองจากกล่องที่มีเงินอยู่มากกว่า 100 ดอลลาร์ 00:06:23.000 --> 00:06:26.000 คุณคงคิดว่า เมื่อโอกาสที่จะถูกจับได้ลดลง 00:06:26.000 --> 00:06:29.000 พวกเขาจะโกงมากขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ มันไม่ได้เป็นแบบนั้น 00:06:29.000 --> 00:06:32.000 คนจำนวนมากโกงแค่เล็กน้อย 00:06:32.000 --> 00:06:35.000 ไม่ได้แปรผันไปตามสิ่งจูงใจทางเศรษฐศาสตร์ NOTE Paragraph 00:06:35.000 --> 00:06:36.000 เราเลยมาคิดว่า "ถ้าคนไม่ตอบสนองต่อสิ่งจูงใจ 00:06:36.000 --> 00:06:41.000 ตามที่หลักเหตุและผลทางเศรษฐศาสตร์ว่าไว้ 00:06:41.000 --> 00:06:44.000 งั้นมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ?" 00:06:44.000 --> 00:06:47.000 เราคิดว่ามันน่าจะมีแรงผลักดันสองอย่าง 00:06:47.000 --> 00:06:49.000 อย่างแรกคือ เราอยากจะกลับบ้านส่องกระจก 00:06:49.000 --> 00:06:52.000 แล้วยังรู้สึกดีกับตัวเองได้อยู่ ดังนั้น เราจึงไม่โกง 00:06:52.000 --> 00:06:54.000 ซึ่งถ้าเราโกงแค่เล็กๆ น้อยๆ 00:06:54.000 --> 00:06:56.000 เราก็ยังรู้สึกดีกับตัวเองได้อยู่ 00:06:56.000 --> 00:06:57.000 ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า 00:06:57.000 --> 00:06:59.000 มันมีขอบเขตการโกงระดับหนึ่งที่เราไม่อยากทำเกินไปกว่านี้ 00:06:59.000 --> 00:07:03.000 คือ เรายังคงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ จากการโกง 00:07:03.000 --> 00:07:06.000 ตราบใดที่มันไม่ไปเปลี่ยนความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเราเอง 00:07:06.000 --> 00:07:09.000 เราเรียกมันว่าระดับการโกงที่ยอมรับได้ของแต่ละคน NOTE Paragraph 00:07:10.000 --> 00:07:14.000 แล้วเราจะทดสอบระดับการโกงที่ยอมรับได้นี่อย่างไร? 00:07:14.000 --> 00:07:18.000 ที่จริงเราตั้งคำถามว่า จะลดระดับการโกงที่ยอมรับได้ลงอย่างไร? 00:07:18.000 --> 00:07:20.000 เราเลยพาคนมาที่ห้องทดลอง แล้วบอกว่า 00:07:20.000 --> 00:07:22.000 "วันนี้เรามีงานสองอย่างให้คุณทำ" 00:07:22.000 --> 00:07:23.000 เราบอกผู้ร่วมการทดลองครึ่งหนึ่งว่า 00:07:23.000 --> 00:07:25.000 อย่างแรก ให้นึกถึงหนังสือสิบเล่มที่เคยอ่านสมัยมัธยมปลาย 00:07:25.000 --> 00:07:28.000 อีกครึ่งหนึ่ง เราให้นึกถึงบัญญัติสิบประการ (คล้ายๆ กับศีลห้า -- ผู้แปล) 00:07:28.000 --> 00:07:30.000 แล้วจากนั้นลองเปิดโอกาสให้เขาโกง 00:07:30.000 --> 00:07:33.000 ปรากฏว่าคนที่นึกถึงบัญญัติสิบประการ 00:07:33.000 --> 00:07:35.000 ซึ่งไม่มีผู้ร่วมการทดลองสักคนที่จำได้ครบทุกข้อ 00:07:36.000 --> 00:07:40.000 แต่เราพบว่า คนที่นึกถึงบัญญัติสิบประการ 00:07:40.000 --> 00:07:43.000 เมื่อมีโอกาสจะโกงแล้ว ไม่มีใครโกงเลยสักคนเดียว 00:07:43.000 --> 00:07:45.000 มันไม่ใช่เพราะคนที่เคร่งศาสนามากกว่า -- 00:07:45.000 --> 00:07:46.000 หรือจำบัญญัติสิบประการได้มากกว่า จะโกงน้อยกว่า 00:07:46.000 --> 00:07:48.000 และคนที่ไม่เคร่งศาสนา -- 00:07:48.000 --> 00:07:49.000 หรือคนที่แทบจะจำบัญญัติสิบประการไม่ได้ -- 00:07:49.000 --> 00:07:51.000 จะโกงมากกว่า 00:07:51.000 --> 00:07:55.000 แค่พยายามจะนึกถึงบัญญัติสิบประการเท่านั้น 00:07:55.000 --> 00:07:56.000 เขาก็หยุดโกง 00:07:56.000 --> 00:07:58.000 ที่จริง แม้แต่คนที่ประกาศตัวว่าไม่ได้นับถือพระเจ้า 00:07:58.000 --> 00:08:02.000 การให้พวกเขาสาบานต่อพระคัมภีร์ แล้วให้โอกาสที่จะโกง 00:08:02.000 --> 00:08:04.000 พวกเขาก็จะไม่โกง 00:08:06.000 --> 00:08:08.000 ทีนี้ บัญญัติสิบประการนั้น 00:08:08.000 --> 00:08:10.000 ยากที่จะนำไปผนวกกับระบบการศึกษา เราเลยคิดว่า 00:08:10.000 --> 00:08:12.000 "แล้วทำไมเราไม่ให้พวกเขาเซ็นชื่อในบัญญัติเกียรติภูมิล่ะ?" 00:08:12.000 --> 00:08:14.000 เราก็เลยให้คนลงชื่อใต้ประโยคว่า 00:08:14.000 --> 00:08:18.000 "ฉันเข้าใจว่าการตอบแบบสำรวจนี้จะอยู่ภายใต้เกียรติภูมิของ MIT" 00:08:18.000 --> 00:08:21.000 เมื่อพวกเขาฉีกกระดาษแล้ว พบว่าไม่มีการโกงใดใดทั้งสิ้น 00:08:21.000 --> 00:08:22.000 เรื่องนี้น่าสนใจมากเลยครับ 00:08:22.000 --> 00:08:24.000 เพราะที่จริง MIT ไม่มีบัญญัติเกียรติภูมิ 00:08:24.000 --> 00:08:29.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:08:29.000 --> 00:08:33.000 เอาล่ะ นั่นคือการลดระดับการโกงที่ยอมรับได้ 00:08:33.000 --> 00:08:36.000 แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ระดับการโกงที่ยอมรับได้เพิ่มขึ้น? 00:08:36.000 --> 00:08:38.000 การทดลองแรก -- ผมเดินไปรอบๆ MIT 00:08:38.000 --> 00:08:41.000 เอาโค้กจำนวนหกแพ็คใส่ไว้ในตู้เย็น -- 00:08:41.000 --> 00:08:43.000 หมายถึงตู้เย็นรวมของนักศึกษาปริญญาตรี 00:08:43.000 --> 00:08:46.000 แล้วผมก็กลับมาวัดสิ่งที่เรียกว่า 00:08:46.000 --> 00:08:50.000 ช่วงอายุของโค้ก -- มันอยู่ในตู้เย็นได้นานแค่ไหน? 00:08:50.000 --> 00:08:53.000 อย่างที่คุณคาด มันอยู่ได้ไม่นานก็มีคนหยิบไป 00:08:53.000 --> 00:08:57.000 ทีนี้ ผมเอาธนบัตรหกดอลลาร์ใส่จาน 00:08:57.000 --> 00:09:00.000 แล้วก็ทิ้งจานนั้นไว้ในตู้เย็นแบบเดียวกัน 00:09:00.000 --> 00:09:01.000 ธนบัตรกลับไม่หายไป NOTE Paragraph 00:09:01.000 --> 00:09:04.000 นี่อาจไม่ใช่การทดลองทางสังคมศาสตร์ที่ถูกหลักการนัก 00:09:04.000 --> 00:09:07.000 เพื่อให้ได้ผลที่เชื่อถือได้มากขึ้น ผมเลยทำการทดลองแบบเดิม 00:09:07.000 --> 00:09:09.000 อย่างที่ผมได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ 00:09:09.000 --> 00:09:12.000 หนึ่งในสามของผู้ร่วมการทดลอง เราให้เขาส่งกระดาษคำตอบคืนเรา 00:09:12.000 --> 00:09:15.000 อีกหนึ่งในสามให้ฉีกกระดาษทิ้งไป 00:09:15.000 --> 00:09:16.000 ให้เขามาหาเราแล้วพูดว่า 00:09:16.000 --> 00:09:19.000 "คุณนักวิจัยครับ ผมแก้โจทย์ได้ X ข้อ จ่ายผมมา X ดอลลาร์" 00:09:19.000 --> 00:09:22.000 และอีกหนึ่งในสามของคนที่เราให้ฉีกกระดาษคำตอบทิ้ง 00:09:22.000 --> 00:09:24.000 ให้เขามาหาเราแล้วบอกว่า 00:09:24.000 --> 00:09:30.000 "คุณนักวิจัยครับ ผมแก้โจทย์ได้ X ข้อ จ่ายชิปผมมา X อัน" 00:09:30.000 --> 00:09:33.000 เราไม่ได้จ่ายเป็นเงิน เราจ่ายเป็นอย่างอื่น 00:09:33.000 --> 00:09:36.000 แล้วเมื่อพวกเขาได้รับอย่างอื่นที่ว่า เขาต้องเดินไปด้านข้างอีกสิบสองฟุต 00:09:36.000 --> 00:09:38.000 แล้วค่อยแลกเป็นเงิน NOTE Paragraph 00:09:38.000 --> 00:09:40.000 ลองนึกดูสิครับ 00:09:40.000 --> 00:09:43.000 คุณจะรู้สึกแย่แค่ไหน ถ้าจิ๊กดินสอจากที่ทำงานกลับบ้าน 00:09:43.000 --> 00:09:45.000 เปรียบเทียบกับ 00:09:45.000 --> 00:09:47.000 การหยิบเงินสิบเซนต์จากกล่องใส่เงิน? 00:09:47.000 --> 00:09:50.000 ความรู้สึกพวกนี้ต่างกันมาก 00:09:50.000 --> 00:09:53.000 การเพิ่มขั้นตอนที่ทำให้คุณอยู่ห่างจากเงินสดไปอีกไม่กี่วินาที 00:09:53.000 --> 00:09:56.000 โดยการได้รับชิปแทนนั้นมันมีผลอะไรไหม? 00:09:56.000 --> 00:09:58.000 ปรากฏว่าผู้ร่วมการทดลองของเราโกหกเพิ่มเป็นสองเท่า 00:09:58.000 --> 00:10:00.000 ผมจะบอกคุณว่าผมคิดยังไง 00:10:00.000 --> 00:10:02.000 เกี่ยวกับเรื่องนี้และตลาดหุ้นในไม่กี่นาทีข้างหน้า 00:10:03.000 --> 00:10:07.000 แต่นี่ก็ยังไม่ช่วยอธิบายเรื่องเอนรอนได้อยู่ดี 00:10:07.000 --> 00:10:10.000 เพราะในเอนรอน มันมีประเด็นทางสังคมด้วย 00:10:10.000 --> 00:10:11.000 คนเราสังเกตว่าคนอื่นทำอะไร 00:10:11.000 --> 00:10:13.000 ในความเป็นจริงแล้ว ทุกๆ วันเมื่อเราดูข่าว 00:10:13.000 --> 00:10:15.000 เราเห็นตัวอย่างของคนที่โกง 00:10:15.000 --> 00:10:18.000 แล้วมันมีผลอย่างไรกับเรา? NOTE Paragraph 00:10:18.000 --> 00:10:19.000 เราก็เลยลองทำการทดลองอีกแบบหนึ่ง 00:10:19.000 --> 00:10:22.000 ให้นักเรียนกลุ่มใหญ่มาร่วมการทดลอง 00:10:22.000 --> 00:10:23.000 และพวกเราก็จ่ายพวกเขาล่วงหน้า 00:10:23.000 --> 00:10:26.000 ทุกๆ คนได้รับซองที่มีเงินทั้งหมดที่เขาจะได้จากการทดลอง 00:10:26.000 --> 00:10:28.000 แล้วเราก็บอกพวกเขาในตอนท้ายว่า 00:10:28.000 --> 00:10:32.000 ขอให้เขาจ่ายคืนเราเท่าจำนวนข้อที่เขาทำไม่ได้ ตกลงไหม? 00:10:32.000 --> 00:10:33.000 ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม 00:10:33.000 --> 00:10:35.000 ถ้าเราให้โอกาสเขาโกง เขาก็โกง 00:10:35.000 --> 00:10:38.000 พวกเขาโกงเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็โกงเหมือนกันหมด 00:10:38.000 --> 00:10:41.000 แต่ว่าในการทดลองนี้ เราจ้างนักศึกษามาเป็นหน้าม้า 00:10:41.000 --> 00:10:45.000 หน้าม้าของเรายืนขึ้นหลังจากสามสิบวินาที แล้วพูดว่า 00:10:45.000 --> 00:10:48.000 "ผมทำได้ครบทุกข้อแล้ว ผมต้องทำอะไรต่อ?" 00:10:48.000 --> 00:10:52.000 ผู้วิจัยก็จะพูดว่า "ถ้าคุณทำเสร็จแล้ว กลับบ้านได้เลย" 00:10:52.000 --> 00:10:53.000 ก็เท่านั้น จบภารกิจ 00:10:53.000 --> 00:10:57.000 ดังนั้น คราวนี้เรามีนักศึกษาหน้าม้า 00:10:57.000 --> 00:10:59.000 เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม 00:10:59.000 --> 00:11:01.000 ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือหน้าม้า 00:11:01.000 --> 00:11:05.000 และเขาก็โกงกันเห็นๆ แบบที่ไม่น่ายอมรับได้ 00:11:05.000 --> 00:11:08.000 จะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ ในกลุ่ม? 00:11:08.000 --> 00:11:11.000 เขาจะโกงเพิ่มขึ้นหรือลดลง? NOTE Paragraph 00:11:11.000 --> 00:11:13.000 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น 00:11:13.000 --> 00:11:17.000 น่าสนใจมากครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่า เขาใส่เสื้ออะไร 00:11:17.000 --> 00:11:19.000 รายละเอียดเป็นอย่างนี้ 00:11:19.000 --> 00:11:22.000 เราทำการทดลองนี้ที่คาร์เนกี้ เมลลอน และพิตต์สเบอร์ก 00:11:22.000 --> 00:11:24.000 ที่พิตต์สเบอร์กมีมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่อยู่สองแห่ง 00:11:24.000 --> 00:11:27.000 คือคาร์เนกี้ เมลลอน และพิตต์สเบอร์ก 00:11:27.000 --> 00:11:29.000 เมื่อผู้เข้าร่วมการทดลองทุกคน 00:11:29.000 --> 00:11:31.000 เป็นนักศึกษาของคาร์เนกี้ เมลลอน 00:11:31.000 --> 00:11:35.000 ถ้าหน้าม้ายืนที่ขึ้นเป็นนักศึกษาของคาร์เนกี้ เมลลอน -- 00:11:35.000 --> 00:11:37.000 ซึ่งเขาก็เป็นนักศึกษาของคาร์เนกี้ เมลลอนจริงๆ -- 00:11:37.000 --> 00:11:41.000 เขาก็เลยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม การโกงก็เลยเพิ่มขึ้น 00:11:41.000 --> 00:11:45.000 แต่ถ้าหน้าม้าใส่เสื้อพิตต์เบอร์ก 00:11:45.000 --> 00:11:47.000 การโกงจะลดลง NOTE Paragraph 00:11:47.000 --> 00:11:50.000 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:11:50.000 --> 00:11:53.000 เรื่องนี้สำคัญนะครับ 00:11:53.000 --> 00:11:55.000 เพราะเมื่อนักศึกษาที่เป็นหน้าม้ายืนขึ้น 00:11:55.000 --> 00:11:58.000 มันบอกกับทุกคนอย่างชัดเจนเลยว่าคุณสามารถโกงได้ 00:11:58.000 --> 00:12:00.000 เพราะผู้วิจัยบอกว่า 00:12:00.000 --> 00:12:02.000 "คุณทำทุกอย่างเสร็จแล้ว กลับบ้านได้" และพวกเขาก็กลับไปพร้อมกับเงินที่โกง 00:12:02.000 --> 00:12:05.000 มันไม่เกี่ยวกับโอกาสที่จะถูกจับได้แล้ว 00:12:05.000 --> 00:12:08.000 แต่มันเป็นเรื่องบรรทัดฐานของการโกง 00:12:08.000 --> 00:12:11.000 ถ้าบางคนในกลุ่มของพวกเราโกง และเราเห็นเขาโกง 00:12:11.000 --> 00:12:15.000 เราจะรู้สึกว่ามันเป็นพฤติกรรมที่กลุ่มเราทำได้ 00:12:15.000 --> 00:12:17.000 แต่ถ้าคนๆ นั้นมาจากกลุ่มอื่น บุคคลที่เลวร้ายพวกนี้ -- 00:12:17.000 --> 00:12:19.000 ผมไม่ได้หมายความว่าเขานิสัยเลวร้าย -- 00:12:19.000 --> 00:12:21.000 แต่หมายถึงบางคนที่เราไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย 00:12:21.000 --> 00:12:23.000 เพราะเขามาจากมหาวิทยาลัยอื่น จากกลุ่มอื่น 00:12:23.000 --> 00:12:26.000 คนก็ตระหนักเรื่องความซื่อสัตย์เพิ่มขึ้นทันที 00:12:26.000 --> 00:12:28.000 คล้ายกับกรณีเรื่องบัญญัติสิบประการ 00:12:28.000 --> 00:12:32.000 แล้วคนก็โกงน้อยลง NOTE Paragraph 00:12:32.000 --> 00:12:36.000 เอาล่ะ เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับการโกงจากเรื่องนี้? 00:12:36.000 --> 00:12:39.000 เราเรียนรู้ว่าคนจำนวนมากโกง 00:12:39.000 --> 00:12:42.000 โดยโกงเล็กๆ น้อยๆ 00:12:42.000 --> 00:12:46.000 เมื่อพวกเราเตือนเขาเรื่องคุณธรรม เขาจะโกงน้อยลง 00:12:46.000 --> 00:12:49.000 เมื่อการโกงนั้นทำกับวัตถุอื่นที่ไม่ใช่เงินโดยตรง 00:12:49.000 --> 00:12:53.000 เช่น วัตถุที่ใช้แทนเงิน คนก็จะโกงมากขึ้นไปอีก 00:12:53.000 --> 00:12:55.000 และเมื่อพวกเราเห็นการโกงรอบๆ ตัวเรา 00:12:55.000 --> 00:12:59.000 โดยเฉพาะถ้าเป็นคนกลุ่มเดียวกับเรา การโกงก็จะมากขึ้น 00:12:59.000 --> 00:13:02.000 ทีนี้ลองมาดูกรณีของตลาดหลักทรัพย์บ้าง 00:13:02.000 --> 00:13:03.000 นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น 00:13:03.000 --> 00:13:06.000 จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราสร้างสถานการณ์ที่ 00:13:06.000 --> 00:13:08.000 คุณจ่ายเงินจำนวนมากให้ผู้คน 00:13:08.000 --> 00:13:11.000 เพื่อให้เขามองเห็นความจริงในมุมที่บิดเบือนไป? 00:13:11.000 --> 00:13:14.000 พวกเขาจะไม่รู้ไต๋คุณเหรอ? 00:13:14.000 --> 00:13:15.000 แน่นอน เขาต้องรู้แน่ 00:13:15.000 --> 00:13:16.000 จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราลองทำอีกแบบหนึ่ง 00:13:16.000 --> 00:13:18.000 โดยไม่เอาสิ่งนั้นไปผูกกับเงิน? 00:13:18.000 --> 00:13:21.000 คุณอาจเรียกมันว่าหุ้น ออพชั่น อนุพันธ์ 00:13:21.000 --> 00:13:22.000 หลักทรัพย์ที่มีทรัพย์สินจำนองหนุนหลัง 00:13:22.000 --> 00:13:25.000 ถ้าเป็นอะไรที่ดูห่างไกลจากเงินออกไป 00:13:25.000 --> 00:13:27.000 มันไม่ใช่ชิปที่แลกเป็นเงินได้ในหนึ่งวินาที 00:13:27.000 --> 00:13:29.000 แต่เป็นสิ่งที่มีขั้นตอนจำนวนมากกว่าจะแปลงเป็นเงินได้ 00:13:29.000 --> 00:13:33.000 และใช้เวลานานด้วย -- คนจะโกงมากขึ้นไหม? 00:13:33.000 --> 00:13:35.000 แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมทางสังคม 00:13:35.000 --> 00:13:38.000 เมื่อเราเห็นคนอื่นๆ ทำแบบนั้น? 00:13:38.000 --> 00:13:42.000 ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่เลวร้าย 00:13:42.000 --> 00:13:44.000 ในตลาดหลักทรัพย์ NOTE Paragraph 00:13:44.000 --> 00:13:47.000 ในภาพกว้างกว่านั้น ผมอยากจะบอกคุณบางอย่าง 00:13:47.000 --> 00:13:50.000 เกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม 00:13:50.000 --> 00:13:54.000 เรามีความเชื่อลึกๆ มากมายที่มาจากสัญชาตญาณ 00:13:54.000 --> 00:13:57.000 ประเด็นก็คือ ความเชื่อพวกนี้จำนวนมากมันผิด 00:13:57.000 --> 00:14:00.000 คำถามก็คือ แล้วเราจะทดสอบความเชื่อนี้กันหรือไม่? 00:14:00.000 --> 00:14:02.000 เราสามารถหาวิธีว่าจะทดสอบความเชื่อพวกนี้ได้อย่างไร 00:14:02.000 --> 00:14:04.000 ในชีวิตส่วนตัว ในหน้าที่การงาน 00:14:04.000 --> 00:14:07.000 และที่สำคัญที่สุด เมื่อมันกลายเป็นนโยบาย 00:14:07.000 --> 00:14:10.000 อย่างนโนบาย "No Child Left Behind" (นโยบายการศึกษาของสหรัฐ) 00:14:10.000 --> 00:14:13.000 เวลาคุณสร้างตลาดหลักทรัพย์ใหม่ สร้างนโยบายใหม่ 00:14:13.000 --> 00:14:16.000 ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษี สุขภาพ และอื่นๆ 00:14:16.000 --> 00:14:18.000 การทดสอบความเชื่อของตัวเองนั้นมันยากมาก 00:14:18.000 --> 00:14:20.000 นั่นเป็นบทเรียนสำคัญที่ผมได้เรียนรู้ 00:14:20.000 --> 00:14:22.000 เมื่อผมกลับไปหาพยาบาลทั้งหลายที่เคยดูแลผม NOTE Paragraph 00:14:22.000 --> 00:14:24.000 ผมกลับไปเพื่อบอกเขา 00:14:24.000 --> 00:14:27.000 ว่าผมมีข้อค้นพบบางอย่างเกี่ยวกับการดึงผ้าพันแผลออก 00:14:27.000 --> 00:14:29.000 แล้วผมก็ได้เรียนรู้สิ่งที่น่าสนใจอยู่สองอย่าง 00:14:29.000 --> 00:14:31.000 หนึ่งคือ พยาบาลที่น่ารักของผม เอตตี้ 00:14:31.000 --> 00:14:35.000 บอกผมว่า ผมไม่ได้เอาความเจ็บปวดของเธอเข้าไปวิเคราะห์ด้วย 00:14:35.000 --> 00:14:37.000 เธอบอกว่า "แน่นอน อย่างที่คุณรู้ มันเจ็บสำหรับคุณ 00:14:37.000 --> 00:14:39.000 แต่ลองมาเป็นพยาบาลสิ 00:14:39.000 --> 00:14:41.000 ต้องพันแผลและดึงผ้าพันแผลออกให้คนมากมาย 00:14:41.000 --> 00:14:44.000 แล้วก็ทำแต่แบบนี้ซ้ำๆ เป็นเวลานาน 00:14:44.000 --> 00:14:47.000 การทำให้คนอื่นเจ็บปวดทรมานก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับฉันเหมือนกัน" 00:14:47.000 --> 00:14:52.000 เธอบอกว่า บางทีส่วนหนึ่งก็เพราะมันยากเกินไปสำหรับเธอ 00:14:52.000 --> 00:14:55.000 แต่มันน่าสนใจมากกว่า ตอนที่เธอบอกว่า 00:14:55.000 --> 00:15:00.000 "ฉันคิดว่าความเชื่อของคุณไม่ถูก 00:15:00.000 --> 00:15:01.000 ฉันรู้สึกว่าความเชื่อของฉันถูกแล้ว" 00:15:01.000 --> 00:15:03.000 ดังนั้น ถ้าคุณลองนึกถึงความเชื่อทั้งหลายของคุณเอง 00:15:03.000 --> 00:15:07.000 มันยากนะครับที่คุณจะเชื่อว่าความเชื่อของคุณผิด 00:15:07.000 --> 00:15:10.000 แล้วเธอก็พูดว่า "และเพราะฉันเชื่อว่าความเชื่อของฉันถูก ..." -- 00:15:10.000 --> 00:15:12.000 คือ เธอคิดว่าเธอถูกนะครับ -- 00:15:12.000 --> 00:15:17.000 มันก็เลยยากมากสำหรับเธอที่จะยอมรับการทดลองที่โหดร้าย 00:15:17.000 --> 00:15:19.000 เพื่อลองตรวจสอบว่าเธอผิดหรือเปล่า NOTE Paragraph 00:15:19.000 --> 00:15:23.000 ที่จริง เราทุกคนล้วนอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ตลอดเวลา 00:15:23.000 --> 00:15:26.000 เรามีความเชื่อที่มั่นคงในทุกเรื่อง -- 00:15:26.000 --> 00:15:29.000 ความสามารถของเรา กลไกการทำงานของเศรษฐกิจ 00:15:29.000 --> 00:15:31.000 เราควรจะจ่ายเงินเดือนครูอย่างไร 00:15:31.000 --> 00:15:34.000 แต่ถ้าเราไม่ได้เริ่มทดสอบความเชื่อเหล่านั้น 00:15:34.000 --> 00:15:36.000 เราก็จะไม่มีวันทำให้อะไรมันดีขึ้นได้ 00:15:36.000 --> 00:15:38.000 ลองนึกดูสิครับว่าชีวิตผมจะดีขึ้นขนาดไหน 00:15:38.000 --> 00:15:40.000 ถ้าพยาบาลเหล่านี้ยอมตรวจสอบสิ่งที่เขาเชื่ออยู่ 00:15:40.000 --> 00:15:41.000 และทุกสิ่งจะดีขึ้นขนาดไหน 00:15:41.000 --> 00:15:46.000 ถ้าเราเริ่มทำการทดลองอย่างเป็นระบบเพื่อตรวจสอบความเชื่อทั้งหลายของเรา NOTE Paragraph 00:15:46.000 --> 00:15:48.000 ขอบคุณมากครับ