WEBVTT 00:00:00.844 --> 00:00:03.222 เวลาที่นึกถึงอคติหรือความลำเอียง 00:00:03.222 --> 00:00:05.366 เรานึกถึงคนโง่เง่าและชั่วร้าย 00:00:05.366 --> 00:00:07.820 ที่ทำเรื่องโง่เง่าและชั่วร้าย 00:00:07.820 --> 00:00:09.890 และความคิดแบบนี้ก็ได้รับการสรุป 00:00:09.890 --> 00:00:12.358 โดยนักวิจารณ์ชาวอังกฤษ วิลเลียม แฮซลิตต์ 00:00:12.358 --> 00:00:15.293 ผู้เขียน "อคติคือลูกหลานของความเพิกเฉยไม่ใส่ใจ" 00:00:15.293 --> 00:00:17.405 ผมอยากจะโน้มน้าวคุณสักหน่อย 00:00:17.405 --> 00:00:19.040 ว่านี่เป็นสิ่งที่เข้าใจกันผิด 00:00:19.040 --> 00:00:20.772 ผมอยากพูดให้คุณเชื่อว่า 00:00:20.772 --> 00:00:22.495 อคติและความลำเอียง 00:00:22.495 --> 00:00:25.783 เป็นเรื่องธรรมชาติ บ่อยครั้งเป็นเรื่องมีเหตุผล 00:00:25.783 --> 00:00:27.614 และบางครั้งก็เป็นสิ่งที่มีศีลธรรม 00:00:27.614 --> 00:00:29.866 และผมคิดว่าเมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของมัน 00:00:29.866 --> 00:00:32.375 เราก็จะเข้าใจมันได้ดีขึ้น 00:00:32.375 --> 00:00:33.432 เมื่อเราใช้มันแบบผิดๆ 00:00:33.432 --> 00:00:35.200 แล้วเกิดผลร้ายตามมา 00:00:35.200 --> 00:00:37.525 และเราก็จะได้รู้วิธีที่ดีกว่าเพื่อจัดการกับมัน 00:00:37.525 --> 00:00:39.207 เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น NOTE Paragraph 00:00:39.207 --> 00:00:42.234 เรามาเริ่มกันที่การเหมารวม คุณมองมาที่ผม 00:00:42.234 --> 00:00:44.480 คุณรู้จักชื่อผม รู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับผม 00:00:44.480 --> 00:00:46.309 และคุณก็อาจตัดสินเรื่องบางอย่าง เกี่ยวกับตัวผมได้ 00:00:46.309 --> 00:00:49.162 คุณอาจเดาเรื่องเชื้อชาติของผม 00:00:49.162 --> 00:00:52.443 ความมีส่วนร่วมทางการเมือง ความเชื่อทางศาสนา 00:00:52.443 --> 00:00:54.542 และที่จริง การตัดสินเบื้องต้นเหล่านี้ก็มักถูกต้อง 00:00:54.542 --> 00:00:56.724 เราเก่งเรื่องแบบนี้ 00:00:56.724 --> 00:00:58.207 และที่เราเก่งเรื่องแบบนี้ 00:00:58.207 --> 00:01:00.940 เพราะความสามารถในการจัดกลุ่มผู้คน 00:01:00.940 --> 00:01:04.195 ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ ในใจโดยไม่มีเหตุผล 00:01:04.195 --> 00:01:06.511 แต่เป็นกรณีจำเพาะ 00:01:06.511 --> 00:01:08.166 ของกระบวนการตามธรรมชาติ 00:01:08.166 --> 00:01:09.785 ซึ่งก็คือ เมื่อเรามีประสบการณ์บางอย่าง 00:01:09.785 --> 00:01:11.326 กับสิ่งของหรือผู้คนในโลกใบนี้ 00:01:11.326 --> 00:01:12.575 ที่เราสามารถจัดกลุ่มได้ 00:01:12.575 --> 00:01:15.031 เราก็สามารถใช้ประสบการณ์ของเรา ในการกำหนดลักษณะอย่างกว้างๆ 00:01:15.031 --> 00:01:17.390 ของประสบการณ์ใหม่ที่อยู่ในหมวดหมู่เหล่านี้ 00:01:17.390 --> 00:01:19.757 ทุกคนที่นี่คงเคยมีประสบการณ์มากมาย 00:01:19.757 --> 00:01:22.010 ที่เกี่ยวกับเก้าอี้ แอปเปิ้ล และสุนัข 00:01:22.010 --> 00:01:23.646 และสิ่งเหล่านี้ คงทำให้คุณเห็นได้ 00:01:23.646 --> 00:01:25.998 ถึงตัวอย่างที่คุณไม่คุ้นเคย และคุณก็สามารถเดาได้ 00:01:25.998 --> 00:01:27.314 ว่าคุณนั่งบนเก้าอี้ได้ 00:01:27.314 --> 00:01:29.879 แอปเปิ้ลกินได้ และสุนัขคงจะเห่า 00:01:29.879 --> 00:01:31.643 แต่เราอาจเดาผิด 00:01:31.643 --> 00:01:33.443 เก้าอี้อาจล้มพับลงถ้าเรานั่ง 00:01:33.443 --> 00:01:35.665 แอปเปิ้ลอาจอาบยาพิษ สุนัขอาจจะไม่เห่า 00:01:35.665 --> 00:01:38.535 และที่จริง นี่สุนัขผมชื่อเทสซี่ และมันไม่เห่า 00:01:38.535 --> 00:01:41.294 แต่ส่วนใหญ่ เราเก่งเรื่องพวกนี้ 00:01:41.294 --> 00:01:43.210 ส่วนใหญ่แล้ว เราเดาเรื่องพวกนี้ถูก 00:01:43.210 --> 00:01:45.024 ทั้งในแง่ที่เกี่ยวข้องกับสังคม และส่วนที่ไม่เกี่ยว 00:01:45.024 --> 00:01:46.973 และถ้าเราไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น 00:01:46.973 --> 00:01:50.189 ถ้าเราไม่มีความสามารถในการคาดเดา สิ่งใหม่ๆ ที่เราพบเจอ 00:01:50.189 --> 00:01:51.640 เราอาจไม่มีชีวิตรอด 00:01:51.640 --> 00:01:54.509 ที่จริง แฮซลิตต์ได้เขียนไว้ในบทความชิ้นถัดมา 00:01:54.509 --> 00:01:55.994 ยอมรับว่าจริง 00:01:55.994 --> 00:01:58.536 เขาเขียนว่า "ถ้าไม่ได้อคติและ ธรรมเนียมปฎิบัติคอยช่วยไว้ 00:01:58.536 --> 00:02:00.876 ผมคงไม่รู้วิธีที่จะเดินข้ามไปอีกฟากของห้อง 00:02:00.876 --> 00:02:03.328 หรือไม่รู้วิธีปฏิบัติตัวไม่ว่าในสถานการณ์ไหน 00:02:03.328 --> 00:02:07.531 และไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไร ในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวกับชีวิต" 00:02:07.531 --> 00:02:09.040 หรือความลำเอียง 00:02:09.040 --> 00:02:10.748 บางครั้ง เราก็แบ่งโลกเป็นสองฟาก 00:02:10.748 --> 00:02:13.749 พวกเรากับพวกเขา คนในกลุ่มกับนอกกลุ่ม 00:02:13.749 --> 00:02:14.910 และบางครั้งเวลาที่เราทำแบบนี้ 00:02:14.910 --> 00:02:16.467 เราก็รู้ว่าเรากำลังทำอะไรผิด 00:02:16.467 --> 00:02:18.140 แล้วก็รู้สึกละอาย 00:02:18.140 --> 00:02:19.623 แต่บางครั้งเราก็รู้สึกภูมิใจ 00:02:19.623 --> 00:02:21.436 เรายอมรับว่าเราลำเอียงได้อย่างเปิดเผย 00:02:21.436 --> 00:02:22.718 และตัวอย่างที่ผมชอบมาก 00:02:22.718 --> 00:02:25.120 คือคำถามที่มาจากกลุ่มผู้ฟัง 00:02:25.120 --> 00:02:27.837 การอภิปรายของพรรครีพลับลิกัน ก่อนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา NOTE Paragraph 00:02:27.837 --> 00:02:30.129 แอนเดอร์สัน คูเปอร์: มีใครมีคำถามอะไรไหม 00:02:30.129 --> 00:02:34.310 มีคำถามเรื่องความช่วยเหลือต่างประเทศไหมครับ เชิญครับ NOTE Paragraph 00:02:34.310 --> 00:02:36.546 ผู้ฟัง: ชาวอเมริกันกำลังเป็นทุกข์ 00:02:36.546 --> 00:02:39.183 อยู่ในประเทศของตัวเองอยู่ 00:02:39.183 --> 00:02:42.531 ทำไมเรายังต้องส่งความช่วยเหลือ 00:02:42.531 --> 00:02:43.847 ไปต่างประเทศอีก 00:02:43.847 --> 00:02:47.950 ในเมื่อสิ่งที่จำเป็นจริงๆ คือการเอาตัวเองให้รอด NOTE Paragraph 00:02:47.950 --> 00:02:49.645 แอนเดอร์สัน: ท่านผู้ว่าฯ เพอร์รี ว่าอย่างไรครับ NOTE Paragraph 00:02:49.645 --> 00:02:51.012 (เสียงปรบมือ) 00:02:51.012 --> 00:02:53.350 ริค เพอร์รี: แน่นอนที่สุด ผมคิดว่า... NOTE Paragraph 00:02:53.350 --> 00:02:55.010 พอล บลูม: คนบนเวทีแต่ละคน 00:02:55.010 --> 00:02:56.981 ต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอในคำถามของเธอ 00:02:56.981 --> 00:02:59.100 ซึ่งก็คือ ในฐานะที่เราเป็นคนอเมริกัน เราก็ควรใส่ใจ 00:02:59.100 --> 00:03:01.226 เรื่องของคนอเมริกันมากกว่าเรื่องของคนอื่น 00:03:01.226 --> 00:03:04.091 และที่จริงแล้ว โดยทั่วๆ ไป คนเราก็มักเอนเอียง 00:03:04.091 --> 00:03:07.599 ไปหาความรู้สึกเช่น ความสามัคคี ความจงรักภักดี ความภาคภูมิใจ ความรักชาติ 00:03:07.599 --> 00:03:10.315 ที่มีให้ประเทศชาติ หรือให้คนเชื้อชาติเดียวกัน 00:03:10.315 --> 00:03:13.400 ไม่ว่าจะมีความเห็นทางการเมืองแบบใด หลายๆ คนก็รู้สึกภูมิใจที่เป็นคนอเมริกัน 00:03:13.400 --> 00:03:15.462 และเชิดชูชาวอเมริกันไว้เหนือชาติอื่นๆ 00:03:15.462 --> 00:03:18.312 ประชากรในประเทศอื่นๆ ก็รู้สึกเช่นเดียวกับชาติตัวเอง 00:03:18.312 --> 00:03:20.798 และเราก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเรื่องเชื้อชาติ NOTE Paragraph 00:03:20.798 --> 00:03:22.482 คุณบางคนอาจจะนึกแย้งอยู่ในใจ 00:03:22.482 --> 00:03:24.203 คุณบางคนอาจเป็นคนเปิดกว้างทางวัฒนธรรม 00:03:24.213 --> 00:03:26.547 และคิดว่าเรื่องเชื้อชาติและสัญชาติ 00:03:26.547 --> 00:03:28.700 ไม่ควรอยู่เหนือเรื่องศีลธรรม 00:03:28.700 --> 00:03:31.462 แต่แม้คุณๆ ซึ่งผ่านโลกมามาก ก็ยังยอมรับ 00:03:31.462 --> 00:03:33.296 ว่าก็ยังเอนเอียง 00:03:33.296 --> 00:03:35.997 ไปเข้าข้างคนในกลุ่มเดียวกัน เช่น คนที่เป็นเพื่อนและครอบครัว 00:03:35.997 --> 00:03:37.418 คนที่รู้สึกสนิทสนม 00:03:37.418 --> 00:03:38.979 เพราะฉะนั้น แม้แต่คุณเองก็ยังแบ่งแยก 00:03:38.979 --> 00:03:40.954 เป็นพวกเรา พวกเขา NOTE Paragraph 00:03:40.954 --> 00:03:43.557 การแบ่งพวกเช่นนี้เป็นธรรมชาติมาก 00:03:43.557 --> 00:03:46.481 และบ่อยครั้งก็เป็นสิ่งที่มีศีลธรรม แต่บางครั้งเราก็ทำพลาด 00:03:46.481 --> 00:03:48.210 สิ่งนี้อยู่ในวิจัย 00:03:48.210 --> 00:03:50.969 ของนักสังคมจิตวิทยา อองรี ทาจเฟล 00:03:50.969 --> 00:03:53.574 ทาจเฟลเกิดในโปแลนด์ ในปี ค.ศ. 1919 00:03:53.574 --> 00:03:55.713 จากนั้นไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส 00:03:55.713 --> 00:03:58.268 เพราะความที่เป็นยิว ทำให้เขา เรียนมหาวิทยาลัยในโปแลนด์ไม่ได้ 00:03:58.268 --> 00:04:00.778 จากนั้นเขาก็เข้าร่วมในกองทัพฝรั่งเศส 00:04:00.778 --> 00:04:02.061 ในสงครามโลกครั้งที่สอง 00:04:02.061 --> 00:04:03.830 ถูกจับและมาลงเอย 00:04:03.830 --> 00:04:05.361 ที่ค่ายนักโทษสงคราม 00:04:05.361 --> 00:04:07.628 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าพรั่นพรึงสำหรับเขา 00:04:07.628 --> 00:04:09.316 เพราะถ้ามีใครรู้ว่าเขาเป็นยิว 00:04:09.316 --> 00:04:11.408 เขาก็จะถูกย้ายไปอยู่ในค่ายกักกัน 00:04:11.408 --> 00:04:13.400 และโอกาสรอดชีวิตก็คงแทบไม่มี 00:04:13.400 --> 00:04:15.987 และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง และเขาได้รับการปล่อยตัว 00:04:15.987 --> 00:04:18.492 ครอบครัวและเพื่อนๆ ส่วนใหญ่ก็ตายไปหมด 00:04:18.492 --> 00:04:20.329 เขามีส่วนร่วมในโครงการหลายอย่าง 00:04:20.329 --> 00:04:21.860 ได้ช่วยเหลือเด็กกำพร้าจากสงคราม 00:04:21.860 --> 00:04:23.591 แต่เขามีความสนใจอย่างต่อเนื่องยาวนาน 00:04:23.591 --> 00:04:25.136 ในศาสตร์ของความลำเอียง 00:04:25.136 --> 00:04:27.796 และเมื่อทุนเล่าเรียนอันทรงเกียรติของอังกฤษ 00:04:27.796 --> 00:04:29.641 เรื่องภาพพจน์มีประกาศเปิดรับ เขาก็ลงสมัคร 00:04:29.641 --> 00:04:30.998 และก็ได้รับทุน 00:04:30.998 --> 00:04:33.188 จากนั้นเขาก็ได้เริ่มสายอาชีพอันน่าทึ่ง 00:04:33.188 --> 00:04:35.937 ซึ่งมีที่มาจากความเข้าใจอันลึกซึ้ง 00:04:35.937 --> 00:04:37.777 ว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด 00:04:37.777 --> 00:04:39.893 เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นเรื่องผิด 00:04:39.893 --> 00:04:42.299 หลายๆ คน คนส่วนใหญ่ในช่วงนั้น 00:04:42.299 --> 00:04:44.200 มองเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ว่าเป็นการแสดงให้เห็น 00:04:44.200 --> 00:04:47.204 ถึงความผิดปกติครั้งร้ายแรงของชนชาติเยอรมัน 00:04:47.204 --> 00:04:51.038 เป็นความด่างพร้อยทางพันธุกรรม เป็นบุคลิกภาพแบบเผด็จการ 00:04:51.038 --> 00:04:53.096 แต่ทาจเฟลไม่เห็นด้วย 00:04:53.096 --> 00:04:55.639 เขาบอกว่าสิ่งที่เราได้เห็นในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 00:04:55.639 --> 00:04:57.950 เป็นแค่ภาคขยาย 00:04:57.950 --> 00:04:59.728 ของกระบวนการทางจิตแบบธรรมดาๆ 00:04:59.728 --> 00:05:01.489 ที่มีอยู่ในตัวพวกเราทุกคน 00:05:01.489 --> 00:05:04.174 เพื่อสำรวจเรื่องนี้ เขาได้ทำการศึกษา 00:05:04.174 --> 00:05:05.918 วัยรุ่นชาวอังกฤษ 00:05:05.918 --> 00:05:07.467 และในงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เขาได้สอบถาม 00:05:07.467 --> 00:05:10.019 วัยรุ่นชาวอังกฤษหลายคำถาม 00:05:10.019 --> 00:05:11.903 จากนั้นก็ใช้คำตอบที่ได้มา แล้วพูดว่า 00:05:11.903 --> 00:05:14.260 "ผมได้อ่านคำตอบของคุณแล้ว และเมื่อพิจารณาคำตอบเหล่านี้ 00:05:14.260 --> 00:05:16.357 ผมก็ได้ข้อสรุปว่าคุณเป็น..." 00:05:16.357 --> 00:05:17.363 เขาบอกคนครึ่งหนึ่งที่ทำแบบสอบถาม 00:05:17.363 --> 00:05:20.320 "ถ้าไม่ใช่นักนิยมคันดินสกี คือคุณชอบงานของคันดินสกี 00:05:20.320 --> 00:05:23.298 คุณก็เป็นนักนิยมคลี คือชอบงานของคลี 00:05:23.298 --> 00:05:25.114 ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้น 00:05:25.114 --> 00:05:27.404 คำตอบที่ได้จากพวกเขา ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคันดินสกีหรือคลีเลย 00:05:27.404 --> 00:05:30.132 พวกเขาอาจไม่เคยได้ยินชื่อศิลปินทั้งสองคนนี้ด้วยซ้ำ 00:05:30.132 --> 00:05:32.872 เขาแค่แบ่งคนออกเป็นสองพวกตามอำเภอใจ 00:05:32.872 --> 00:05:36.143 แต่สิ่งที่เขาพบ คือการจัดหมวดหมู่แบบนี้มีความสำคัญมาก 00:05:36.143 --> 00:05:38.654 ดังนั้น เมื่อเขาดึงเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว 00:05:38.654 --> 00:05:40.330 คนที่ทำแบบสอบถามยินดีให้เงิน 00:05:40.330 --> 00:05:42.130 กับคนในกลุ่มเดียวกัน 00:05:42.130 --> 00:05:43.963 มากกว่าคนในกลุ่มอื่น 00:05:43.963 --> 00:05:46.290 ที่แย่กว่านั้น คือพวกเขายิ่งสนใจ 00:05:46.290 --> 00:05:48.296 ที่จะหาข้อแตกต่าง 00:05:48.296 --> 00:05:50.862 ระหว่างคนในกลุ่มกับนอกกลุ่ม 00:05:50.862 --> 00:05:52.770 และยินดีที่จะไม่รับเงินเข้ากลุ่มเพิ่ม 00:05:52.770 --> 00:05:58.018 ถ้านั่นทำให้อีกกลุ่มหนึ่งได้เงินน้อยกว่า NOTE Paragraph 00:05:58.018 --> 00:06:00.236 ความมีอคติเช่นนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เรายังเด็กมาก 00:06:00.236 --> 00:06:02.536 เพื่อนร่วมงานซึ่งป็นภรรยาของผม คาเรน วีนน์ จากมหาวิทยาลัยเยล 00:06:02.536 --> 00:06:04.147 ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเด็กอ่อน 00:06:04.147 --> 00:06:06.979 โดยเอาตุ๊กตาให้เด็กๆ ดู 00:06:06.979 --> 00:06:09.244 และบอกว่าตุ๊กตามีอาหารที่ชอบเป็นพิเศษ 00:06:09.244 --> 00:06:11.426 ตุ๊กตาบางตัวอาจชอบถั่วฝัก 00:06:11.426 --> 00:06:14.001 บางตัวอาจชอบเกรแฮมแครกเกอร์ 00:06:14.001 --> 00:06:16.370 จากนั้นก็ได้ทดสอบหาอาหารที่เด็กๆ ชอบ 00:06:16.370 --> 00:06:19.060 และพบว่าส่วนใหญ่นิยมเกรแฮมแครกเกอร์ 00:06:19.060 --> 00:06:21.672 แต่คำถามก็คือสิ่งเหล่านี้มีผลกับเด็กๆ ไหม 00:06:21.672 --> 00:06:24.788 ว่าเด็กจะชอบตุ๊กตาตัวไหนมากกว่ากัน เราพบว่าเกี่ยวกันมาก 00:06:24.788 --> 00:06:26.307 เด็กๆ จะชอบตุ๊กตา 00:06:26.307 --> 00:06:29.786 ตัวที่ชอบอาหารแบบเดียวกับพวกเขา 00:06:29.786 --> 00:06:32.342 และที่แย่กว่านั้น พวกเขายิ่งชอบตุ๊กตา 00:06:32.342 --> 00:06:35.327 ตัวที่ลงโทษตุ๊กตาตัวอื่น ซึ่งชอบอาหารที่แตกต่างออกไป 00:06:35.327 --> 00:06:37.604 (เสียงหัวเราะ) NOTE Paragraph 00:06:37.604 --> 00:06:41.236 เราพบจิตวิทยาของการแบ่งพรรคแบ่งพวก ในลักษณะนี้ตลอดเวลา 00:06:41.236 --> 00:06:42.900 เราพบสิ่งนี้ในความขัดแย้งทางการเมือง 00:06:42.900 --> 00:06:45.314 ในกลุ่มที่มีแนวคิดหลากหลาย 00:06:45.314 --> 00:06:48.940 และในระดับที่สุดโต่ง ก็แสดงออกมาในรูปสงคราม 00:06:48.940 --> 00:06:52.157 ซึ่งคนนอกกลุ่มไม่เพียงได้รับสิ่งที่ด้อยกว่า 00:06:52.157 --> 00:06:53.745 แต่กลับถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 00:06:53.745 --> 00:06:55.985 อย่างเช่นมุมมองที่นาซีมีต่อชาวยิว 00:06:55.985 --> 00:06:58.070 ว่าเป็นเหมือนพยาธิหรือเห็บเหา 00:06:58.070 --> 00:07:02.306 หรือมุมที่ชาวอเมริกันมองชาวญี่ปุ่นว่าเป็นหนูสกปรก NOTE Paragraph 00:07:02.306 --> 00:07:04.520 การแบ่งพรรคแบ่งพวกและเหมารวมส่งผลร้ายเสมอ 00:07:04.520 --> 00:07:06.781 บ่อยครั้งที่อาจเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและมีประโยชน์ 00:07:06.781 --> 00:07:08.355 แต่บ่อยครั้งก็ไม่มีเหตุผล 00:07:08.355 --> 00:07:09.581 ทำให้เราเข้าใจอะไรผิดๆ 00:07:09.581 --> 00:07:10.798 และมีหลายครั้ง 00:07:10.798 --> 00:07:12.973 ที่นำเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ไร้ซึ่งศีลธรรม 00:07:12.973 --> 00:07:15.781 เรื่องที่ถูกนำมาศึกษามากที่สุด 00:07:15.781 --> 00:07:17.448 คือเรื่องของเชื้อชาติ 00:07:17.448 --> 00:07:18.855 มีการวิจัยที่น่าทึ่งชิ้นหนึ่ง 00:07:18.855 --> 00:07:20.929 ก่อนการเลือกตั้ง ค. ศ. 2008 00:07:20.929 --> 00:07:23.955 ซึ่งนักจิตวิทยาสังคมได้พิจารณาปัจจัย 00:07:23.955 --> 00:07:27.397 ที่เชื่อมโยงผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เข้ากับความเป็นอเมริกา 00:07:27.397 --> 00:07:31.002 โดยมีความเชื่อมโยงในระดับจิตใต้สำนึก เข้ากับธงชาติอเมริกา 00:07:31.002 --> 00:07:32.358 และงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้เปรียบเทียบ 00:07:32.358 --> 00:07:34.372 โอบามากับแมคเคน และพบว่าแมคเคน 00:07:34.372 --> 00:07:37.766 เป็นคนที่คนทั่วไปเห็นว่า มีความเป็นอเมริกันมากกว่าโอบามา 00:07:37.766 --> 00:07:40.339 และก็อาจไปถึงขั้นที่คนไม่รู้สึกตกใจที่ได้ยินว่า 00:07:40.339 --> 00:07:42.257 แมคเคนสรรเสริญวีรบุรุษสงคราม 00:07:42.257 --> 00:07:43.916 หลายคนพูดได้อย่างเต็มปาก 00:07:43.916 --> 00:07:46.616 ว่าแมคเคนมีเรื่องราวความเป็นอเมริกัน มากกว่าโอบามา 00:07:46.616 --> 00:07:48.553 นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบโอบามา 00:07:48.553 --> 00:07:51.069 กับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ โทนี แบลร์ 00:07:51.069 --> 00:07:53.330 และพบว่าคนทั่วไปคิดว่าแบลร์ 00:07:53.330 --> 00:07:55.837 มีความเป็นอเมริกันมากกว่าโอบามา 00:07:55.837 --> 00:07:57.910 แม้ว่าคนที่ทำแบบสอบถามจะเข้าใจดี 00:07:57.910 --> 00:08:00.900 ว่าเขาไม่ใช่อเมริกันเลย 00:08:00.900 --> 00:08:02.324 แต่แน่นอน ว่าคนตอบสนอง 00:08:02.324 --> 00:08:05.375 จากสีผิวที่เห็น NOTE Paragraph 00:08:05.375 --> 00:08:07.426 การเหมารวมและอคติเช่นนี้ 00:08:07.426 --> 00:08:08.876 มีผลกระทบที่เกิดขึ้นจริง 00:08:08.876 --> 00:08:11.748 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสำคัญและละเอียดอ่อน 00:08:11.748 --> 00:08:14.410 ในการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัย 00:08:14.410 --> 00:08:17.679 ได้ลงโฆษณาใน eBay ขายการ์ดเบสบอล 00:08:17.679 --> 00:08:20.413 บางส่วนใช้มือของคนขาวถือการ์ด 00:08:20.413 --> 00:08:21.631 บางส่วนให้คนดำถือ 00:08:21.631 --> 00:08:23.210 ทั้งที่เป็นการ์ดที่เหมือนกัน 00:08:23.210 --> 00:08:24.454 แต่การ์ดที่คนดำถือ 00:08:24.454 --> 00:08:26.521 กลับมีคนประมูลน้อยกว่ามาก 00:08:26.521 --> 00:08:29.005 กว่าการ์ดที่คนขาวถือ 00:08:29.005 --> 00:08:31.367 งานวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 00:08:31.367 --> 00:08:35.597 นักจิตวิทยาได้วิเคราะห์กรณีของคน 00:08:35.597 --> 00:08:39.166 ที่ถูกพิพากษาให้มีความผิดฐานฆ่าคนขาว 00:08:39.166 --> 00:08:41.970 ผลออกมาว่า หากปัจจัยทุกอย่างเหมือนกัน 00:08:41.970 --> 00:08:44.340 คุณมีโอกาสถูกพิพากษา ให้ต้องรับโทษมากกว่า 00:08:44.340 --> 00:08:46.117 ถ้าคุณมีหน้าตาแบบคนทางขวา 00:08:46.117 --> 00:08:48.090 แทนที่จะหน้าตาแบบคนทางซ้าย 00:08:48.090 --> 00:08:50.119 และเหตุผลสำคัญที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ 00:08:50.119 --> 00:08:52.653 ชายคนทางขวาหน้าตาดูเป็นคนดำ ที่พบเห็นได้ทั่วไป 00:08:52.653 --> 00:08:55.283 ดูเป็นคนแอฟริกันอเมริกันที่พบได้ทั่วไป 00:08:55.283 --> 00:08:57.332 และดูเหมือนว่านี่จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้คน 00:08:57.332 --> 00:08:59.103 ว่าควรจะทำอย่างไรกับเขา NOTE Paragraph 00:08:59.103 --> 00:09:00.650 ตอนนี้เราเข้าใจความลำเอียงและอคติมากขึ้น 00:09:00.650 --> 00:09:02.307 เราจะจัดการกับมันอย่างไร 00:09:02.307 --> 00:09:03.929 มีถนนหลายสายให้เลือกเดิน 00:09:03.929 --> 00:09:05.363 และทางสายหนึ่งคือตอบสนอง 00:09:05.363 --> 00:09:07.409 ต่ออารมณ์ของผู้อื่น 00:09:07.409 --> 00:09:09.542 คือการเห็นอกเห็นใจคนอื่น 00:09:09.542 --> 00:09:11.415 และเรามักจะทำเช่นนั้นผ่านเรื่องราว 00:09:11.415 --> 00:09:13.980 ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ใจกว้าง 00:09:13.980 --> 00:09:15.852 และอยากสนับสนุนให้ลูกๆ 00:09:15.852 --> 00:09:18.226 เข้าใจครอบครัวที่ไม่เป็นไปตามแบบแผน 00:09:18.226 --> 00:09:20.499 คุณอาจจะให้ลูกๆ ได้อ่านหนังสือแบบนี้ ["ฮีทเธอร์มีแม่สองคน"] 00:09:20.499 --> 00:09:22.225 แต่ถ้าคุณเป็นพวกอนุรักษ์นิยม และมีความเห็นที่ต่างออกไป 00:09:22.225 --> 00:09:24.156 คุณอาจให้ลูกๆ อ่านหนังสือแบบนี้ 00:09:24.156 --> 00:09:25.905 (หัวเราะ) ["ช่วยด้วย แม่ มีพวกเสรีนิยมอยู่ใต้เตียง"] 00:09:25.905 --> 00:09:29.241 แต่โดยปกติแล้ว เรื่องราวสามารถพลิกผัน 00:09:29.241 --> 00:09:31.473 คนแปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก ให้กลายเป็นคนที่มีความหมาย 00:09:31.473 --> 00:09:34.158 และความคิดที่ว่าเราห่วงใยผู้อื่น 00:09:34.158 --> 00:09:35.860 ยามที่เราใส่ใจเรื่องราวของเขา ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง 00:09:35.860 --> 00:09:38.139 ก็เป็นแนวคิดที่มีให้เห็นมาตลอดประวัติศาสตร์ 00:09:38.139 --> 00:09:40.722 ดังที่สตาลินเคยพูดไว้ 00:09:40.722 --> 00:09:42.339 "การตายเพียงหนึ่งเป็นโศกนาฏกรรม 00:09:42.339 --> 00:09:44.379 การตายเป็นล้านเป็นตัวเลขทางสถิติ" 00:09:44.379 --> 00:09:45.830 และแม่ชีเทเรซ่าก็พูดไว้ว่า 00:09:45.830 --> 00:09:47.371 "ถ้าฉันดูที่คนหมู่มาก ฉันคงไม่ได้ทำอะไร 00:09:47.371 --> 00:09:49.696 แต่ถ้าใส่ใจเรื่องคนๆ เดียว ก็จะทำอะไรได้มาก" 00:09:49.696 --> 00:09:51.766 นักจิตวิทยาได้วิเคราะห์เรื่องนี้ 00:09:51.766 --> 00:09:53.067 ยกตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยชิ้นหนึ่ง 00:09:53.067 --> 00:09:55.850 ทดลองให้คนได้อ่านรายการ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤต 00:09:55.850 --> 00:10:00.106 แล้วดูว่าคนบริจาคเงินเท่าไร 00:10:00.106 --> 00:10:01.690 เพื่อช่วยเหลือเหตุการณ์นี้ 00:10:01.690 --> 00:10:03.527 แต่อีกกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้รับข้อเท็จจริงอะไรเลย 00:10:03.527 --> 00:10:05.625 แต่ได้รับข้อมูลเรื่องคนแทน 00:10:05.625 --> 00:10:08.065 โดยได้ทราบชื่อและได้เห็นหน้า 00:10:08.065 --> 00:10:11.284 ผลออกมาว่ากลุ่มหลังบริจาคมากกว่ามาก 00:10:11.284 --> 00:10:13.145 ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เคล็ดลับอะไรเลย 00:10:13.145 --> 00:10:15.256 สำหรับคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการกุศล 00:10:15.256 --> 00:10:17.904 คนเรามักไม่ป้อนคนอื่น 00:10:17.904 --> 00:10:19.227 ด้วยข้อเท็จจริงและสถิติ 00:10:19.227 --> 00:10:20.249 แต่เราเอาหน้าตาของคนจริงๆ ให้เขาดู 00:10:20.249 --> 00:10:21.985 เอาเรื่องราวของผู้คนมาแสดงให้ดู 00:10:21.985 --> 00:10:25.212 เป็นไปได้ที่การส่งต่อความเห็นอกเห็นใจ 00:10:25.212 --> 00:10:27.183 ไปยังคนๆ หนึ่ง ความเห็นใจนั้นก็จะขยายขอบเขต 00:10:27.183 --> 00:10:30.061 ไปยังกลุ่มที่คนๆ นั้นสังกัดอยู่ได้ NOTE Paragraph 00:10:30.061 --> 00:10:32.527 นี่คือแฮเรียต บีเชอร์ สโตว์ 00:10:32.527 --> 00:10:34.970 มีเรื่องเล่า ซึ่งไม่ทราบที่มาแน่ชัด 00:10:34.970 --> 00:10:37.044 ว่าประธานาธิบดีลินคอล์นเชิญเธอ 00:10:37.044 --> 00:10:39.042 ไปที่ทำเนียบขาว ช่วงกลางสงครามกลางเมือง 00:10:39.042 --> 00:10:40.626 และกล่าวกับเธอว่า 00:10:40.626 --> 00:10:43.290 "คุณนั่นเอง สุภาพสตรีตัวเล็กๆ ที่เป็นต้นเหตุของสงครามที่ยิ่งใหญ่" 00:10:43.290 --> 00:10:45.175 เขาพูดถึงหนังสือ "กระท่อมน้อยของลุงทอม" 00:10:45.175 --> 00:10:47.706 "กระท่อมน้อยของลุงทอม" ไม่ใช่หนังสือทางปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ 00:10:47.706 --> 00:10:50.850 หรือเทววิทยา ไม่ใช่แม้วรรณกรรม 00:10:50.850 --> 00:10:53.365 แต่หนังสือทำหน้าที่ได้ดี 00:10:53.365 --> 00:10:55.863 ในการให้เราได้ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา 00:10:55.863 --> 00:10:58.196 กับคนที่เราไม่เคยนึกอยากใส่ใจ 00:10:58.196 --> 00:11:00.598 คือได้ลองเอาใจทาสมาใส่ใจเรา 00:11:00.598 --> 00:11:02.379 และนั่นก็น่าจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา 00:11:02.379 --> 00:11:03.983 ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม NOTE Paragraph 00:11:03.983 --> 00:11:06.345 และในช่วงไม่นานมานี้ ถ้าเราลองดูอเมริกา 00:11:06.345 --> 00:11:09.414 ในช่วงหลายทศวรรษมานี้ 00:11:09.414 --> 00:11:12.563 ก็มีเหตุให้ควรเชื่อว่าซิทคอมอย่าง "เดอะคอสบีโชว์" 00:11:12.563 --> 00:11:15.251 มีส่วนเปลี่ยนทัศนคติที่คนอเมริกัน มีต่อชาวแอฟริกันอเมริกันอย่างมาก 00:11:15.251 --> 00:11:18.234 ในขณะที่ซิทคอมอย่าง "วิลแอนด์เกรซ" และ "โมเดิร์นแฟมิลี" 00:11:18.234 --> 00:11:19.597 ก็เปลี่ยนทัศนคติของชาวอเมริกัน 00:11:19.597 --> 00:11:20.897 ที่มีต่อกลุ่มคนรักร่วมเพศ 00:11:20.897 --> 00:11:23.352 ผมคิดว่าคงไม่เป็นการกล่าวที่เกินเลยไป 00:11:23.352 --> 00:11:26.013 ว่าตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญที่ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในอเมริกา 00:11:26.013 --> 00:11:28.906 คือละครซิทคอม NOTE Paragraph 00:11:28.906 --> 00:11:30.322 แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์เพียงอย่างเดียว 00:11:30.322 --> 00:11:31.598 ผมอยากจะปิดท้ายด้วยการนำเสนอ 00:11:31.598 --> 00:11:33.833 ถึงพลังแห่งเหตุผล 00:11:33.833 --> 00:11:35.989 มีบางตอนที่เขียนไว้ในหนังสืออันน่าทึ่ง 00:11:35.989 --> 00:11:37.212 ชื่อ "The Better Angels of our Nature" 00:11:37.212 --> 00:11:39.228 สตีเฟน พิงเกอร์ กล่าวว่า 00:11:39.228 --> 00:11:41.810 ในพันธสัญญาเดิมสอนให้รักเพื่อนบ้าน 00:11:41.810 --> 00:11:44.532 และพันธสัญญาใหม่สอนให้รักศัตรู 00:11:44.532 --> 00:11:47.218 แต่ผมไม่ชอบทั้งคู่เลย 00:11:47.218 --> 00:11:48.885 แต่ก็ไม่ได้อยากฆ่าให้ตาย 00:11:48.885 --> 00:11:50.751 ผมรู้ว่าเรามีหน้าที่ต่อกัน 00:11:50.751 --> 00:11:54.221 แต่ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขา ความเชื่อที่มีต่อพวกเขา 00:11:54.221 --> 00:11:55.934 ว่าผมควรปฏิบัติต่อเขาอย่างไรให้มีศีลธรรม 00:11:55.934 --> 00:11:57.981 ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความรัก 00:11:57.981 --> 00:11:59.920 แต่ว่าตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน 00:11:59.920 --> 00:12:02.143 ความเชื่อว่าชีวิตของเขาก็มีค่าสำหรับเขา 00:12:02.143 --> 00:12:04.499 เช่นเดียวกับที่ชีวิตผมก็มีค่ากับผม 00:12:04.499 --> 00:12:06.431 และเพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้ เขาได้เล่าเรื่อง 00:12:06.431 --> 00:12:08.279 ของนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ อดัม สมิธ 00:12:08.279 --> 00:12:09.965 ซึ่งผมก็อยากนำเรื่องนี้มาเล่าด้วยเช่นกัน 00:12:09.965 --> 00:12:11.261 แม้ว่าจะขอดัดแปลงเล็กน้อย 00:12:11.261 --> 00:12:12.939 ให้เข้ากับยุคสมัย NOTE Paragraph 00:12:12.939 --> 00:12:14.840 อดัม สมิธ เริ่มต้นด้วยการขอให้เราจินตนาการ 00:12:14.840 --> 00:12:16.741 ถึงการตายของผู้คนนับพัน 00:12:16.741 --> 00:12:18.781 และจินตนาการว่าคนนับพันนั้น 00:12:18.781 --> 00:12:21.020 อยู่ในประเทศที่คุณแทบไม่รู้จัก 00:12:21.020 --> 00:12:24.574 อาจเป็นประเทศจีน หรืออินเดีย หรือประเทศหนึ่งในแอฟริกา 00:12:24.574 --> 00:12:27.058 สมิธถามว่า คุณจะตอบสนองเรื่องเหล่านี้อย่างไร 00:12:27.058 --> 00:12:29.365 คุณอาจจะพูดว่า นั่นแย่หน่อยนะ 00:12:29.365 --> 00:12:31.241 แล้วก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนชั่วชีวิต 00:12:31.241 --> 00:12:33.460 ถ้าคุณลองได้เปิดอ่านนิวยอร์กไทมส์ออนไลน์ หรืออะไรทำนองนั้น 00:12:33.460 --> 00:12:36.420 จะพบว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา 00:12:36.420 --> 00:12:37.941 เราใช้ชีวิตของเราต่อไป 00:12:37.941 --> 00:12:40.135 แต่สมิธบอกให้เราลองจินตนาการดูว่า 00:12:40.135 --> 00:12:41.389 ในวันพรุ่งนี้ 00:12:41.389 --> 00:12:43.928 นิ้วก้อยคุณจะถูกตัดทิ้ง 00:12:43.928 --> 00:12:46.097 สมิธกล่าวว่า เหตุการณ์อย่างหลัง จะสำคัญกว่ามาก 00:12:46.097 --> 00:12:47.508 คืนนั้น คุณจะนอนไม่หลับเลย 00:12:47.508 --> 00:12:48.861 เฝ้าคิดแต่เรื่องนั้น 00:12:48.861 --> 00:12:50.880 สิ่งนี้เลยนำไปสู่คำถาม 00:12:50.880 --> 00:12:53.346 ว่าคุณจะยอมสละชีวิตนับพันๆ 00:12:53.346 --> 00:12:55.315 เพื่อแลกกับนิ้วก้อยของตัวเองไหม 00:12:55.315 --> 00:12:57.633 ขอให้ตอบคำถามนี้ในใจก็พอนะครับ 00:12:57.633 --> 00:13:00.552 ส่วนสมิธกล่าวว่า ไม่มีทางยอมแน่ๆ 00:13:00.552 --> 00:13:02.244 เป็นความคิดที่น่าสยดสยองสิ้นดี 00:13:02.244 --> 00:13:04.275 และนี่ก็นำไปสู่คำถามอีกคำถามหนึ่ง 00:13:04.275 --> 00:13:05.649 อย่างที่สมิธเคยถามไว้ 00:13:05.649 --> 00:13:07.867 "ถ้าความไม่สนใจใยดีในตัวเรามักทำให้ 00:13:07.867 --> 00:13:09.315 เราเป็นคนสกปรกเลวทราม และเห็นแก่ตัว 00:13:09.315 --> 00:13:10.780 เหตุใดความต้องการมีส่วนร่วมของมุนษย์ 00:13:10.780 --> 00:13:13.313 จึงผลักดันให้เราเป็นคนใจดีมีเมตตา และมีคุณธรรม 00:13:13.313 --> 00:13:15.363 และคำตอบของสมิธคือ "มีเหตุผล 00:13:15.363 --> 00:13:17.138 หลักเกณฑ์ และมโนธรรม 00:13:17.138 --> 00:13:18.679 ที่คอยเตือนสติเราอยู่ 00:13:18.679 --> 00:13:22.104 ด้วยเสียงที่ทำให้กิเลส ตัวที่อวดดีที่สุดของเรายังต้องตกใจ 00:13:22.104 --> 00:13:23.781 บอกว่าเราเป็นแค่คนๆ หนึ่งในบรรดามหาชน 00:13:23.781 --> 00:13:26.222 ซึ่งไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าคนอื่นๆ เลย NOTE Paragraph 00:13:26.222 --> 00:13:28.347 ส่วนสุดท้ายนี้มักจะเรียกกันว่า 00:13:28.347 --> 00:13:31.555 เป็นหลักเกณฑ์แห่งความไม่มีอคติ 00:13:31.555 --> 00:13:34.184 และหลักเกณฑ์แห่งความไม่มีอคตินี้ ก็ได้สะท้อนออกมา 00:13:34.184 --> 00:13:35.931 ในทุกศาสนา ทั่วโลก 00:13:35.951 --> 00:13:38.209 สะท้อนในรูปกฎเหล็กแห่งการปฏิบัติ 00:13:38.209 --> 00:13:40.663 และยังอยู่ในปรัชญาศีลธรรมทุกๆ ปรัชญาในโลก 00:13:40.663 --> 00:13:41.970 ซึ่งนำเสนอในรูปแบบที่ต่างกันออกไป 00:13:41.970 --> 00:13:44.964 แต่มีความเชื่อพื้นฐานเหมือนกัน คือ เราควรมองและตัดสินคำว่าศีลธรม 00:13:44.964 --> 00:13:47.949 จากมุมมองแห่งความไม่มีอคติ NOTE Paragraph 00:13:47.949 --> 00:13:49.771 คำกล่าวที่ยืนยันแนวคิดดังกล่าว 00:13:49.771 --> 00:13:52.856 สำหรับผมแล้ว ไม่ได้มาจาก นักเทววิทยา หรือนักปรัชญา 00:13:52.856 --> 00:13:54.213 แต่มาจากฮัมฟรีย์ โบการ์ต 00:13:54.213 --> 00:13:55.760 ในตอนจบของภาพยนตร์ "คาซาบลังกา" 00:13:55.760 --> 00:13:59.536 ผมจะสปอยล์เนื้อหานะ เขาพูดกับคนรักของเขา 00:13:59.536 --> 00:14:00.676 ว่าทั้งคู่ต้องแยกทางกัน 00:14:00.676 --> 00:14:02.269 เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก 00:14:02.269 --> 00:14:04.133 เขาพูดกับเธอว่า ผมขอไม่เลียนสำเนียงนะ 00:14:04.133 --> 00:14:05.915 เขาพูดกับเธอว่า "เห็นได้ชัดเลย 00:14:05.915 --> 00:14:07.274 ว่าปัญหาของคนตัวเล็กๆ สามคน 00:14:07.274 --> 00:14:10.385 เทียบไม่ได้เลยกับปัญหา หนักหนาในโลกที่มีกองอยู่เป็นภูเขา" NOTE Paragraph 00:14:10.385 --> 00:14:13.665 เหตุผลของเราอาจช่วยให้เราก้าวข้ามกิเลสไปได้ 00:14:13.665 --> 00:14:15.381 เหตุผลอาจช่วยกระตุ้นให้เรา 00:14:15.381 --> 00:14:16.602 ขยายขอบเขตของความเห็นอกเห็นใจออกไป 00:14:16.602 --> 00:14:18.929 อาจกระตุ้นให้เราเขียนหนังสืออย่าง "กระท่อมน้อยของลุงทอม" 00:14:18.929 --> 00:14:20.652 หรืออ่านหนังสืออย่าง "กระท่อมน้อยของลุงทอม" 00:14:20.652 --> 00:14:23.346 และเหตุผลก็อาจยังช่วยให้เราสร้าง 00:14:23.346 --> 00:14:25.308 ธรรมเนียม ข้อห้าม และกฎหมาย 00:14:25.308 --> 00:14:27.118 ที่คอยควบคุมเรา 00:14:27.118 --> 00:14:28.794 ไม่ให้ทำสิ่งต่างๆ ตามแรงขับตามธรรมชาติ 00:14:28.794 --> 00:14:30.383 ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล เรารู้สึก 00:14:30.383 --> 00:14:31.778 ว่าเราควรถูกควบคุม 00:14:31.778 --> 00:14:33.791 สิ่งนี้คือรัฐธรรมนูญ 00:14:33.791 --> 00:14:36.712 รัฐธรรมนูญคือสิ่งที่ก่อร่างขึ้นในอดีต 00:14:36.712 --> 00:14:38.019 และมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน 00:14:38.019 --> 00:14:39.004 และสิ่งที่บัญญัติไว้ในนั้น คือ 00:14:39.004 --> 00:14:41.231 ไม่ว่าเราจะเลือกตั้งกันอีกกี่รอบ 00:14:41.231 --> 00:14:43.834 และได้ประธานาธิบดีคนดังคนเดิม มาดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่สาม 00:14:43.834 --> 00:14:45.929 ไม่ว่าชาวอเมริกันผิวขาว 00:14:45.929 --> 00:14:49.997 จะรู้สึกอยากนำการค้าทาสกลับมา เราก็ทำไม่ได้ 00:14:49.997 --> 00:14:51.673 เราผูกพันตัวเองไว้กับคำมั่นสัญญานี้แล้ว NOTE Paragraph 00:14:51.673 --> 00:14:54.090 และเราก็ผูกพันตัวเองในลักษณะอื่นๆ ด้วยเช่นกัน 00:14:54.090 --> 00:14:56.848 เรารู้ว่าเวลาเราต้องการเลือก 00:14:56.848 --> 00:14:59.799 คนเข้ามาทำงาน เข้ามารับรางวัล 00:14:59.799 --> 00:15:02.757 เราเองก็มีอคติเรื่องเชื้อชาติ 00:15:02.757 --> 00:15:05.053 อคติเรื่องเพศ 00:15:05.053 --> 00:15:07.268 อคติเรื่องรูปลักษณ์ที่ดูน่าดึงดูดใจ 00:15:07.268 --> 00:15:09.919 แม้บางครั้งเราจะพูดว่า "ไม่เป็นไรหรอก นี่เป็นธรรมชาติมนุษย์" 00:15:09.919 --> 00:15:12.226 แต่อีกหลายครั้ง เราพูดว่า "แบบนี้มันผิด" 00:15:12.226 --> 00:15:14.115 และเพื่อจัดการกับอคตินี้ 00:15:14.115 --> 00:15:16.366 เราไม่เพียงพยายามให้มากขึ้น 00:15:16.366 --> 00:15:19.367 แต่เราพยายามสร้างสถานการณ์ 00:15:19.367 --> 00:15:22.406 ที่ไม่ให้ข้อมูลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง มาทำให้เรามีอคติ 00:15:22.406 --> 00:15:23.721 ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมวงออเคสตร้า 00:15:23.721 --> 00:15:26.366 ถึงทดสอบนักดนตรีที่หลังฉากเพื่อคัดเข้าวง 00:15:26.366 --> 00:15:27.610 เพื่อที่ข้อมูลเพียงอย่างเดียวที่จะได้รับ 00:15:27.610 --> 00:15:30.303 คือข้อมูลที่เป็นประโยชน์จริงๆ 00:15:30.303 --> 00:15:32.626 ผมคิดว่าอคติและความลำเอียง 00:15:32.626 --> 00:15:35.720 สะท้อนให้เห็นความเป็นสองขั้วในธรรมชาติมนุษย์ 00:15:35.720 --> 00:15:39.496 เรามีความกล้าหาญ สัญชาตญาณ อารมณ์ 00:15:39.496 --> 00:15:41.657 ซึ่งส่งผลกับการตัดสินใจและการกระทำของเรา 00:15:41.657 --> 00:15:43.988 ให้ออกมาดีหรือชั่วร้าย 00:15:43.988 --> 00:15:47.610 แต่เราก็ยังสามารถใคร่ครวญสิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล 00:15:47.610 --> 00:15:49.045 วางแผนอย่างชาญฉลาด 00:15:49.045 --> 00:15:51.862 และบางครั้ง เราก็ใช้สิ่งเหล่านี้ 00:15:51.862 --> 00:15:53.805 เพื่อพัฒนาและหล่อเลี้ยงอารมณ์ของเรา 00:15:53.805 --> 00:15:56.573 บางครั้งก็เพื่อบรรเทาอารมณ์ให้สงบลง 00:15:56.573 --> 00:15:57.807 และด้วยวิธีการเช่นนี้ 00:15:57.807 --> 00:16:00.574 เหตุผลก็ช่วยให้เราสร้างสรรค์โลกที่ดีกว่าเดิมได้ NOTE Paragraph 00:16:00.574 --> 00:16:02.918 ขอบคุณครับ NOTE Paragraph 00:16:02.918 --> 00:16:06.623 (เสียงปรบมือ)