ผมพบแล้วว่า หากอยากรู้เกี่ยวกับสิ่ง ที่คนส่วนใหญ่สนใจที่สุดเมื่อเขาวิเคราะห์บริษัท ล่ะก็ คุณต้องรู้จักบัญชีรายได้ (income statement) และบัญชีรายได้นั้นเป็นหนึ่งในสามบัญชี ทางการเงินที่คุณควรดู เมื่อศึกษาบริษัทนั้น มันมีบัญชีรายได้ และอีกสองอันคือ บัญชี งบดุล ซึ่งผมได้วาดหลายครั้งใน ที่ผมอธิบายเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ และอื่น ๆ และที่จริงแล้ว ในวิดีโอ เราจะเห็นว่า บัญชีรายได้สัมพันธ์กับบัญชีงบดุลอย่างไร และแน่นอนว่า อันสุดท้าย -- และไม่ "แน่นอน" หาก คุณไม่รู้ว่ามาก่อน -- คือบัญชีกระแสเงินสด (cash flow statement) และเราจะสนใจมันทีหลังเพราะ มันแตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับ บัญชีรายได้ บัญชีรายได้ก็ตามชื่อเลย คือ บอกว่า บริษัททำเงินได้เท่าไหร่ในช่วงเวลาที่กำหนด และ มันเกี่ยวกับช่วงเวลาเสมอ มันอาจจะเป็นบัญชีรายได้ประจำปี อาจเป็นของปี 2008 มันอาจเป็นบัญชีรายได้ทุกไตรมาส นั่นคือสองแบบที่คุณเจอ แต่ บางครั้ง มันเป็นรายเดือน หรือรายหกเดือน และรูปแบบทั่วไปมักจะเหมือนกัน แม้ว่า จะมีรายละเอียดต่างกันขึ้นอยู่กับว่าบริษัททำ อะไร แต่ในวิดีโอนี้ ผมอยากจะพูดคลุม แค่บัญชีรายได้ธรรมดาสำหรับบริษัท ที่แค่ขายเครื่องมือสักอย่าง ดังนั้น สิ่งแรกเมื่อคุณขายเครื่องมือ คือ คุณสร้างมัน แล้วก็ขาย คุณขายเครื่องมือ คุณให้เครื่องมือแก่ลูกค้า แล้วเขาก็จะจ่ายเงินให้คุณ และเงินที่เขาให้คุณ -- ผมจะไม่ลง รายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับบัญชีตอนนี้ -- นั้น นับว่าเป็น รายรับ (revenue) บางครั้งเรานับว่าเป็น รายได้จากการขาย (sales) และตามชื่อมัน คือ เงินที่เขาให้คุณ ในช่วงเวลาหนึ่ง และนักบัญชีของคุณก็บอกว่า อย่างเช่น ไม่ นั่นไม่ใช่เงินที่เขาให้คุณ มันคือเงินที่คุณได้ในช่วงเวลา หนึ่ง และนั่นก็จริง แต่สำหรับเราตอนนี้ สมมุติว่าเมื่อคุณให้ เครื่องมือไป คุณก็ได้เงินที่เขาให้มา และนั่นคือ รายรับจากการขาย ต่อไป เราจะพูดถึงวิธีต่าง ๆ ที่จะนับ รายรับและการขาย งั้นสมมุติว่ารายรับ หรือการขาย ในกรณี ในช่วงเวลาที่กำหนด สมมุติว่านี่คือบัญชีรายได้ ในปี 2008 ตลอดปี 2008 เราขายเครื่องมือได้ เช่น 3 ล้านเหรียญ สมมุติว่าเป็น 3 ล้านเหรียญ และหลายครั้งที่คุณดูที่บัญชีรายได้สำหรับ บริษัท หากคุณไปที่ Yahoo! Finance คุณสามารถทำได้ตอนนี้เลย แทนที่จะ เขียน $3 ล้าน คุณจะเห็น $3,000 แทน มันเหมือนกับ โอ้ พระเจ้า! บริษัทนี้ เขาแทบขายอะไรไม่ได้เลย แต่มันเหมือนกับมาตรฐานที่พวกเขามักเขียนสิ่งต่าง ๆ ในหน่วย หนึ่งพัน ดังนั้น 3,000 จะหมายถึง 3,000 พัน ก็คือ 3 ล้านนั่นเอง และสำหรับบริษัทที่ใหญ่จริง ๆ เขามักจะเขียน ตัวเลขในหน่วย หนึ่งล้าน ดังนั้นหากคุณเห็น 3,000 ตรงนั้น มันอาจหมายถึง 3 พันล้าน แต่ที่จริง เรามักจะดูบัญชีรายได้จริง ในอนาคตที่ไม่ไกลนัก นั่นคือเงินที่เขาให้เรามา แต่นั่นไม่ใช่รายได้ที่เราหากได้ เพราะมันมี ราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อสร้าง เครื่องมือขึ้นมาอีก มันไม่เหมือนกับตอนที่มีคนให้เงินผม 3 ล้านเหรียญ ผมสามารถ พูดว่า โอ้ ผมทำเงินได้ 3 ล้าเนเหรียญ งั้นผมเอาเงินไปฝากธนาคารแล้วกัน เสร็จแล้ว ทั้งหมดนั่นคือรายได้ ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณมักเห็นในบัญชี รายได้คือ ค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องมือเหล่านั้น ค่าใช้จ่าย สำหรับผลิตเครื่องมือ นั่นเอง และผมจะใส่ค่าใช้จ่ายทั้งมหดในสีบานเย็น บางครั้ง เราจะเขียนมันเป็น ค่าใช้จ่ายสำหรับการขาย (cost of sales) หรือค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป และตามชื่อของมัน -- อืม ที่จริงมีสองอย่าง มันมีค่าใช้จ่ายแปรผัน ซึ่งก็คือ ในแต่ละชิ้น มัน ต้องใช้ปริมาณโลหะเท่า ๆ กัน และพลังงาน ในการผลิต และสีหาก เครื่องมือนั้นทาสีด้วย และราคาของสินค้านั้นก็คือ เงินที่ต้องใช้ ซื้อโลหะ สี และ ไฟฟ้าที่ใช้ผลิตเครื่องมือมูลค่า 3 ล้านเหรียญนั่น แต่นั่นคือค่าใช้จ่ายแปรผัน นอกเหนือจากนั้น คุณยังมี ราคาคงที่ (fixed costs) หรือ ค่าใช้จ่ายคงที่สัมพัทธ์ ที่ ต้องใช้ตอนเปิดโรงงาน มันต้องใช้ เงินจำนวนหนึ่งทุกปี ไม่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะผลิตเครื่องมือได้กี่ชิ้น และเราจะลงรายละเอียดอีกที แต่เพื่อให้ง่าย สมมุติว่าค่าใช้จ่ายรวมในการผลิต เครื่องมือพวกนั้นเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ บางครั้ง บางคนบอกว่ามันมีราคา 1 ล้านเหรียญ เมื่อ ผมทำโมเดลขึ้นมา ผมชอบใส่เครื่องมือลบไว้ เพื่อให้ผม จำได้ว่ามันคือค่าใช้จ่าย อะไรก็ตามที่หัก จากรายได้ ผมจะใส่เครื่องหมายลบไว้ อะไรที่บวกเข้าไปคือ บวก แม้ว่านั่น จะไม่ใช่วิธีมาตรฐานก็ตาม บางคนบอกว่า โอ้ นั่นคือค่าใช้จ่ายมูลค่าบวก 1 ล้านเหรียญ ซึ่งหมายความว่า คุณต้องลบทิ้ง แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจ จากนั้นหากคุณลบค่าใช้จ่ายของคุณจากรายรับ หรือ หากคุณบวกเลขสองตัวนี้ เพราะอันนึงเป็นลบ คุณจะได้กำไรขั้นต้น (gross profit) และในกรณีนี้ มันเท่ากับ 2 ล้านเหรียญ และเลขนี้บอกคุณว่า คุณทำเงินได้เท่าไหร่ หรือ กำไรที่คุณได้จากการขาย เครื่องมื่อเหล่านั้น เป็นเท่าไหร่ ดังนั้น ยิ่งขายเครื่องมือได้มากเท่าไหร่ ในภาวะส่วนใหญ่ เลขนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นนี้คือ กำไรของคุณก่อนที่จะหักค่าใช้จ่าย อื่น ๆ ที่บริษัทต้องจ่าย เช่น ภาษี และเงินเดือน CEO เงินเดือน CEO ไม่ได้รวมในนั้น จริงไหม เพราะว่า CEO ไม่ได้เข้าไปในโรงงานโดยส่วนใหญ่ หรือผลิตเครื่องมือขึ้นมา ดังนั้นเงินของ ซีอีโอ หรือ เงินเดือนหัวหน้าฝ่ายการเงิน (CFO) หรือ สำนักงานใหญ่บนตึกระฟ้าสวย ๆ นั่นไม่ได้ นับอยู่ในนี้ หรือค่าใช้จ่ายการตลาด จริงไหม คุณต้องบอกผู้คนว่า เฮ้ เราทำเครื่องมือดีนะ ทั้งหมดนี้ไม่ได้รวมอยู่ในนี้ ดังนั้นมันจะอยู่ในบรรทัดถัดไป และบ่อยครั้ง คุณจะเห็นมันแยกออกมา โดยที่พวกมัน จะมีค่าใช้จ่ายการตลาดด้วย บางครั้งคุณต้องจ่ายให้คนขายของ ดังนั้นคุณอาจ ค่าใช้จ่ายจากการขาย จากนั้นยังมีเช่น เงินเดือนซีอีโอ และสำนักงานองค์กร และคุณต้องจ้าง ผู้ตรวจตรา นักบัญชี และอื่น ๆ พวกนั้น นั่นอาจจะรวมเป็น ค่าใช้จ่ายทั่วไป ที่จริง ผมควรเขียนมันด้วยสีบานเย็น เพราะ มันเป็นค่าใช้จ่าย การตลาด ฝ่ายขาย จากนั้นก็ G&A ที่คุณอาจเห็นบางครั้ง บางครั้งคุณจะเห็น SG&A G&A ย่อมาจากค่าใช้จ่ายทั่วไป และบริหาร (general and administrative expenses) หากคุณเจอ SG&A -- บางครั้งแทนที่เห็น G&A คุณจะเห็น SG&A แทน -- มันหมายถึง ค่าใช้จ่าย การขาย ทั่วไป และบริหาร การขาย หมายถึง อย่างเช่น มันอาจะเป็นค่าคอมมิชชัน ที่ฝ่ายขายได้ไป หรืออาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายขายใช้เดินทาง ทั่วประเทศและพาคนไปกินสเต๊กมื้อเย็น จากนั้น ทั่วไปและบริหาร นั่นก็แค่ สิ่งที่ออฟฟิศขององค์กรทำ และคน ทั้งหมดที่อยู่ในระดับนั้น ดังนั้น หากคุณลบพวกนี้ออก และผมจะมั่วเลข ขึ้นมา สมมุติว่า ในฝ่ายการตลาด ปริษัทใช้เงินไป $500,000 และผมใส่มันเป็นลบเพราะผมชอบจำ ว่ามันเป็นค่าใช้จ่าย ในบางโมเดลคุณจะเห็น เขาบอกว่า มันคือค่าใช้จ่าย $500,000 การขาย สมมุติว่า นี่คือแค่ G&A ตรงนี้ ผมอยากเขียนบรรทัดใหม่แยกสำหรับการขาย ดังนั้นสมมุติว่า การขาย ค่าใช้จ่ายสำหรับการขายเท่ากับ $200,000 และสมมุติว่า G&A สำนักงานองค์กรและพวกนั้นทั้งหมด ใช้เงินไปอีก $300,000 และตอนนี้ เราก็พร้อมจะหาว่าการดำเนิน ธุรกิจนี้ทำเงินได้เท่าไหร่กันแน่ และนี่คือ กำไรดำเนินการ (operating profit) และนี่คือ สิ่งสำคัญที่ควรสนใจ เพราะ คนมากมายบอกว่า โอ้ บริษัททำเงินได้ตั้งขนาดนี้ และคุณได้ยินเลขพวกนี้ กำไรขั้นต้น และกำไรดำเนินการ กำไรลัพธ์ และกำไรก่อนคิดภาษี และมันยากที่ จะเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมาก ๆๆ เพราะมันมีคำว่า "กำไร" ทั้งหมด แต่ คำว่า ขั้นต้น หรือ ดำนเนินการ และอื่น ๆ หมายความว่าอย่างไร แต่ตอนนี้คุณเห็นแล้วว่ามันหมายถึงสิ่งที่ต่างกันมาก ๆๆ ลองคำนวณเลขพวกนี้ก่อนที่ผมจะ แตะเรื่องความแตกต่างระหว่าง กำไรขั้นต้นกับกำไรดำเนินการ ลองดูกัน 2 ล้าน ลบ 1 ล้าน หัวผมคงคิดไว้แล้ว ให้เลขมันออกมาสวย ดังนั้น กำไรดำเนินการตรงนี้ คือ 1 ล้านเหรียญ ดังนั้นเราได้ค่ากำไรใหม่ที่ต่างออกไป ผมทำเงินได้ 2 ล้านเหรียณจากการขายเครื่องมือไป แต่ จากนั้นผมก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นของบริษัท ฝ่ายตลาด การขาย ค่าทั่วไปและบริหาร สุดท้ายผมเหลืออยู่ 1 ล้านเหรียญ และนี่คือกำไรจากการดำเนินบริษัท หรือคุณอาจบอกว่ามาจากสินทรัพย์ หรือจากธุรกิจ หรือจากองค์กรของบริษัท และนี่คือสิ่งที่มันสร้างขึ้นมาได้ แต่เราเห็นได้ว่า -- ผมวาดบัญชีงบดุลหลายอันมาแล้ว และผมว่านี่คือเวลาเหมาะที่จะวาดอีกอันนึง ตอนนี้คุณมีประมาณว่า สินทรัพย์ของบริษัท และเราจะพูดถึงเรื่องสินทรัพย์และ มูลค่าองค์กรอีกหน่อย และมันมีข้อแตกต่างอีก แต่ท้ายที่สุดก็คือ บริษัท นั่นเอง ตอนคุณจะคิดว่า บริษัทได้รับเงินมา อย่างไร หรือคุณแค่คิดเกี่ยวกับตัวองค์กรเอง เอาล่ะ สินทรัพย์ สินทรัพย์สร้างนี่ขึ้นมา มันกำลังสร้างกำไรดำเนินการ และนั่น คือสิ่งสำคัญที่จะต้องนึกถึงในอนาคต เมื่อเรา พูดถึงผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ที่จริง เราพูดถึงตอนนี้เลยก็ได้ สมมุติว่า สินทรัพย์ของเรา หากเราจ่าย 10 ล้านเหรียญสำหรับ สินทรัพย์ และสินทรัพย์เหล่านี้ -- นี่คือบัญชีรายได้ สำหรับปี 2008 -- แบ่งออกไป 1 ล้านเหรียญต่อปี หรืออย่างน้อย 1 ล้านเหรียญในปีนี้ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ -- ผมไม่ ได้วางแผนจะแนะนำอันนี้ แต่มันไม่แย่ที่จะ พูดถึงมันตอนนี้ -- ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (return on asset) ของเรา มักจะเขียนย่อว่า ROA จะเป็น -- ตัวเศษคือ ผลตอบแทน นั่นคือ 1 ล้านเหรียญ ตัวส่วนคือ สินทรัพย์ 10 ล้านเหรียญ ดังนั้นเราได้ผลตอบแทน 10% จากสินทรัพย์ ดังนั้นจากการลงทุน 10 ล้านเหรียญ เราจะได้ 1 ล้านเหรียญต่อปี เราจะได้ 10% ของสินทรัพย์ที่ลงทุนคืนทุกปี และนั่นคือสิ่งที่ดีที่คุณควรเก็บไว้ในหัว หลักการ เรื่องผลตอบแทนจากสินทรัพย์นี้ และมันก็ผูกกับเรื่อง กำไรดำเนินการและสินทรัพย์ที่แท้ของบริษัทด้วย สิ่งที่เราเรียน และโดยเฉพาะหากคุณดู วิดีโอเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ ขผงม ที่บริษัททั้งหมด ไม่ได้บริหารเงินเหมือนกัน บริษัทหลายแห่งอาจมีหนี้อยู่ ดังนั้นสมมุติว่าบริษัทมีสินทรัพย์อยู่ 10 ล้านเหรียญ แต่ สมมุติว่าเขาต้องจ่ายหนี้ 5 ล้านเหรียญด้วย และสมมุติว่าอัตราดอกเบี้ยของหนี้นั้น -- ขอผม คิดเลขดี ๆ หน่อย -- 5% ทำให้ง่ายกว่านี้หน่อย สมมุติว่าเป็นดอกเบี้ย 10% ดังนั้นนี่คือ กำไรดำเนินการ นี่คือเงินที่ออกมาจากตัวสินทรัพย์เอง แต่ แน่นอน มันไม่ใช่เงินที่เราได้ กลับบ้าน เพราะเราต้องจ่ายดอกเบี้ย ดังนั้นลอง ใส่มันลงไปเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่ง ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และแน่นอน บริษัทที่ไม่มีหนี้ ก็ไม่ต้อง จ่ายค่าใช้จ่ายหนี้ แต่ในกรณีนี้ เราต้องจ่าย และนี่คือบัญชีรายได้ประจำปี สมมุติ หากเรามีหนี้ 5 ล้านเหรียญ และเรา ต้องจ่าย 10% ของมัน 10% ของ $5 ล้านเท่ากับ $500,000 ต่อปี สำหรับดอกเบี้ย ดังนั้นเราต้องจ่ายครึ่งหนึ่งของ กำไรดำเนินการให้กับธนาคาร และตอนนี้เราก็เหลือ -- เราเข้าใกล้สิ่ง ที่เราต้องไปให้ถึงแล้ว -- รายได้ก่อนภาษี และหากเราลบเลข เราอยู่ที่ $500,000 และคุณคงเดาได้ว่า บรรทัดต่อไปก็คือ เมื่อกำหนดว่านี้คือ ก่อนภาษี นี่คือสิ่งที่เจ้าของบริษัทได้ก่อนที่จะจ่าย บางส่วนให้รัฐ ดังนั้นคุณคงเดาได้ว่าบรรทัดต่อไปคืออะไร มันต้องเป็น ภาษี สมมุติว่าอัตราภาษีนิติบุคคลเป็น 30% และคุณ ก็ต้องเอา 30% ของเลขนี้ตรงนี้ 30% ของเลขตรงนี้ ดังนั้น 30% ของ $500,000 เท่ากับ $150,000 เสร็จแล้ว สุดท้ายเราก็จ่ายทุกคนที่เราต้องจ่ายหมด ดังนั้นเราเริ่มด้วย 3 ล้านเหรียณข้างบนนั้น เราจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากนั้น เราเหลือเท่าไหร่ นี่คือ $350,000 เป็นรายได้ลัพธ์ (net income) และนี่คือสิ่งที่เหลือให้เจ้าของบริษัท นี่คือรายได้ลัพธ์ตรงนี้ ดังนั้น กลับไปที่บัญชีงบดุล เรามีสินทรัพยื อยู่ 10 ล้านเหรียญ และหนี้ 5 ล้านเหรียญ เรารู้ว่าสิ่งที่เหลือคือ equity ขอผมเลือกสีสว่าง ๆ หน่อย equity คือสิ่งที่เหลือ สมมุติว่านี่คือมูลค่าตามบัญชีทั้งหมด ดังนั้นเรามี equity อยู่ 5 ล้านเหรียญ และเมื่อผมบอกว่า มูลค่าตามบัญชี มันก็คือวิธีพูดหรู ๆ ของสิ่งที่นักบัญชีบอกเราว่าเราจ่าย สำหรับเรื่องพวกนี้ นี่คือสิ่งที่เรามีในบัญชี และเราจะพูดถึงเรื่องการลดค่าและค่าตัดจำหน่าย และเราอาจเปลี่ยนค่าเหล่านี้ได้อย่างไร แต่ เพื่อให้ง่าย หากเราออกไปซื้อพวกนี้ 10 ล้านเหรียญ คุณก็เขียนลงในบัญชี ว่า ฉันมี สินทรัพย์ 10 ล้านเหรียญ และหากคุณกู้เงินมา 5 ล้านเหรียญ สิ่งที่คุณ เป็นเจ้าของจริง ๆ หากคุณขายสินทรัพย์ไป คุณจะ ได้ equity 5 ล้านเหรียญ และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เมื่อเราคิดผลตอบแทนจากสินทรัพย์ เราดูที่ กำไรดำเนินการ เพราะนี่คือสิ่งที่บริษัทสร้างได้ ก่อนที่เราจะจ่ายธนาคาร หรือ ลุงแซม หรือ ใครก็ตามพวกนั้น และเราจะเอาเลขนี้มาเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วย จำนวนสินทรัพย์ ตอนนี้เราจะตั้งอีกนิยามนึง และนั่นคือ ผลตอบแทนจาก equity และผลตอบแทนจาก equity ตัวตั้งคือ รายได้ลัพธ์ ที่เราได้ นั่นคือ $350,000 และตัวหารตรงนี้คือ equity หรือมูลค่าตามบัญชีของ equity เรา เท่ากับ 5 ล้านเหรียญ หนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม ตัดศูนย์พวกนี้ออกู ดังนั้นจะได้ 35/500 35/500 นั้นเท่ากับ 7/100 ดังนั้นเท่ากับ ผลตอบแทนเทียบ equity 7% และมันน่าสนใจเพราะ สาเหตุที่มันน้อยลง -- อืม ผมไม่อยากลงลึกเกินไป เพราะผมรู้ว่าผมใช้เวลาเกินแล้ว แต่ ณ จุดนี้ คุณควรเข้าใจดี ถึงอย่างน้อย บัญชีรายได้พื้นฐานของบริษัทที่ ขายเครื่องมือ และในอนาคต เราจะดูบริษัทอื่น ๆ เช่น บริษัทการเงิน ประกัน สายส่งก๊าซธรรมาชาติ ที่จะ มีบัญชีรายได้ที่ต่างออกไปมาก แต่ นี่ให้คุณเห็นรูปแบบทั่วไปว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร และอย่างน้อยมันจะทำให้คุณเข้าใจว่า รายรับ กำไรขั้นต้น กำไรดำเนินการ รายได้ก่อนภาษี และรายได้ลัพธ์ นั้นต่างกันจริง ๆ หลายครั้งในสื่อยอดนิยาม พวกเขาใช้คำปนเป ว่าบริษัทโน่น ทำเงินได้เท่านี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะพบคุณใหม่ในวิดีโอหน้าครับ