-
ลองมาเรียนเรื่องกฎของจำนวนมาก (law of large numbers) สักหน่อย
-
มันคือกฎที่ตรงตามสัญชาตญาณที่สุดอย่างหนึ่งใน
-
คณิตศาสตรืและทฤษฎีความน่าจะเป็นทีเดียว
-
แต่เพราะมันนำมาใช้ได้ในหลายเรื่อง มันจึง
-
เป็นกฏที่นำมาใช้ผิดๆ หรือบางครั้ง ใช้แบบเข้าใจผิดนิดหน่อย
-
เพื่อให้คณิตศาสตร์เป็นทางการมากขึ้น
-
ขอผมนิยามมันก่อน แล้ว
-
เราค่อยพูดถึงสัญชาตญาณทีหลัง
-
สมมุติว่าผมมีตัวแปรสุ่ม X
-
และเรารู้ค่าคาดหวัง หรือค่าเฉลี่ยประชากรของมัน
-
กฎของจำนวนมากบอกว่า
-
ถ้าเราหาตัวอย่างการสังเกต n ครั้งจากตัวแปรสุ่มของเรา
-
ถ้าเราหาค่าเฉลี่ยของค่าที่สังเกตได้เหล่านั้น --
-
ขอผมนิยามตัวแปรอีกตัวนะ
-
ลองเรียกมันว่า x ห้อย n แล้วมีเส้นอยู่ข้างบน
-
นี่คือค่าเฉลี่ยของการสังเกตตัวแปร
-
สุ่มของเรา n ครั้ง
-
มันก็คือ นี่คือการสังเกตของผม
-
แล้วคุณก็บอกว่า ผมทำการทดลองครั้งนี้
-
แล้วได้ผลการสังเกตนี้มา แล้วผมก็ทำอีกครั้ง, ผมได้ผลการสังเกตมา
-
แล้วผมก็ทำไปทั้งสิ้น n ครั้ง แล้ว
-
ผมหารด้วยจำนวนครั้งที่สังเกต
-
นี่ก็คือค่าเฉลี่ยตัวอย่างของผม
-
และนี่คือค่าเฉลี่ยของการสังเกตทั้งหมดที่ผมทำ
-
กฎของจำนวนมาบอกเราว่า ค่าเฉลี่ยตัวอย่าง
-
ใช้เข้าหาค่าคาดหวังของตัวแปรสุ่มนั้น
-
หรือผมสามารถเขียนว่า ค่าเฉลี่ยตัวอย่างจะเข้าหา
-
ค่าเฉลี่ยประชากรเมื่อ n เข้าอนันต์
-
และผมพูดไม่เป็นทางการ เวลาบอกว่าเข้าใกล้
-
คำว่า เข้าใกล้ หมายถึงอะไร?
-
แต่ผมว่าคุณคงเข้าใจตามสัญชาตญาณทั่วไปว่า
-
ถ้าผมหาตัวอย่างที่ใหญ่พอตรงนี้ ผมจะได้
-
ค่าคาดหวังของประชากรทั้งหมด
-
และผมว่าสำหรับพวกเราแล้วมันตรงตามสัญชาตญาณดี
-
ถ้าเราเก็บตัวอย่างจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่,
-
ค่าที่ได้จะบอกจำนวนที่ผมคาดไว้
-
จากค่าคาดหวังและประชากร อะไรพวกนั้น
-
แต่ผมว่าคนมันเข้าใจมันผิดนิดหน่อย
-
ไม่แง่ที่ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น
-
แต่ก่อนที่เราไปถึงเรื่องนั้น ผมจะ
-
ยกตัวอย่างเฉพาะให้ดู
-
กฎของจำนวนมาก จะบอกเราว่า สมมุติว่า
-
ผมมีตัวแปรสุ่ม -- X เท่ากับจำนวนหัว
-
หลังจากโยนเหรียญที่เที่ยงตรงไป 100 ครั้ง -- โยนหรือดีด
-
เหรียญเที่ยงตรง
-
อย่างแรกเลย, เรารู้ว่าค่าคาดหวังสำหรับ
-
ตัวแปรสุ่มนี้เป็นเท่าไหร่
-
มันคือจำนวนครั้งที่โยน, จำนวนครั้งคูณ
-
ความน่าจะเป็นที่จะสำเร็จในแต่ละครั้ง
-
มันจึงเท่ากับ 50
-
แล้วกฎของจำนวนมาก ก็แค่บอกว่า ถ้าผมหาตัวอย่าง
-
หรือผมหาค่าเฉลี่ยตัวอย่างจากการทดลองหลายๆ ครั้ง
-
คุณก็รู้, ผมได้ -- ครั้งแรกที่ผมทดลอง
-
ผมโยนเหรียญ 100 ครั้ง หรือใสเหรียญ 100 เหรียญในกล่อง
-
แล้วผมเขย่ากล่องนั้น ผมนับจำนวนหัว, ผมได้ 55
-
นั้นก็คือ X1
-
แล้วผมเขย่ากล่องอีกครั้ง แล้วผมได้ 65
-
ครั้งต่อมา ผมเขย่าอีกครั้งแล้วผมได้ 45
-
ผมทำแบบนี้ n ครั้งแล้วผมหารด้วย
-
จำนวนครั้งที่ผมทำ
-
กฎของจำนวนมาก บอกเราว่า ค่าเฉลี่ยนี้
-
ค่าเฉลี่ยจากการสังเกตทั้งหมดของผม
-
มันจะเข้าหา 50 เมื่อ n เข้าหาอนันต์
-
หรือเมื่อ n เข้าหา 50
-
ขอโทษที, n เข้าหาอนันต์
-
แล้วผมอยากพูดถึงสักหน่อยว่าทำไมถึงเป็นช่นนั้น
-
หรือมันเป็นไปตามสัญชาตญาณอย่างไร
-
หลายคนมักรู้สึกว่า, โอ้ นี่หมายความว่า
-
หลังจากผ่าน 100 ครั้ง ถ้าผมอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ย
-
กฎของความน่าจะเป็นจะให้เห็นมากขึ้น
-
หรือน้อยลงเพื่อกลบความแตกต่างนั้น
-
ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเสียทีเดียว
-
นั่นมักเรียกว่า ความหลงผิดของนักพนัน (gambler's fallacy)
-
ขอผมอธิบายความแตกต่างหน่อย)
-
ผมจะใช้ตัวอย่างนี้แหละ
-
สมมุติว่า -- ขอผมวาดกราฟนะ
-
ผมจะเปลี่ยนสีหน่อย
-
นี่คือ n, แกน x ผมคือ n
-
นี่คือจำนวนครั้งที่ผมลอง
-
และแกน y, ขอผมทำให้มันเป็นค่าเฉลี่ยตัวอย่าง
-
และเรารู้ว่าค่าคาดหวัง, เรารู้ว่า
-
ค่าคาดหวังของตัวแปรสุ่มนี้คือ 50
-
ขอผมวาดมันตรงนี้นะ
-
นี่คือ 50
-
มันก็คือตัวอย่างที่ผมทำ
-
เมื่อ n เท่ากับ -- ขอผม
-
ตรงนี้
-
ครั้งแรกที่ผมลอง ผมได้ 55 และนั่นคือค่าเฉลี่ยของผม
-
ผมมีแค่จุดเดียว
-
แล้วหลังจาก 2 ครั้ง, ลองดู, ผมมี 65
-
ดังนั้นค่าเฉลี่ยจะเป็น 65 บวก 55 หารด้วย 2
-
ซึ่งเท่ากับ 60
-
แล้วค่าเฉลี่ยผมเพิ่มขึ้นหน่อย
-
แล้วผมได้ 45, ซึ่งทำค่าเฉลี่ยผม
-
ลงมาหน่อย
-
ผมจะไม่พลอต 45 ลงไปตรงนี้
-
ผมต้องเฉลี่ยทั้งหมดนี่
-
แล้ว 45 บวก 65 เป็นเท่าไหร่?
-
ขอผมคำนวณค่านี้ออกมา
-
เพื่อคุณจะได้เข้าใจ
-
มันคือ 55 บวก 65
-
มันคือ 120 บวก 45 ได้ 165
-
หารด้วย 3
-
3 หาร 165 ได้ 5 -- 5 คูณ 3 ได้ 15
-
มันคือ 53
-
ไม่ใช่, ไม่ใช่, ไม่ใช่
-
55
-
ค่าเฉลี่ยจะลงมาอยู่ที่ 55
-
คุณก็ทดลองไปเรื่อยๆ
-
คุณอาจบอกว่า กฎของจำนวนมาก บอกว่าอย่างนี้
-
โอเค, เราทำการทดลอง 3 ครั้งแล้วค่าเฉลี่ยอยู่ตรงนี้
-
คนส่วนใหญ่คิดว่าบางทีพระเจ้าของความน่าจะเป็น
-
จะทำให้มันมีโอกาสที่เราได้
-
หัวน้อยลงในอนาคต
-
แล้วหลังจากผ่านไปหลายๆ ครั้ง มันจะต้อง
-
ลงมาตรงนี้เพื่อทำให้ค่าเฉลี่ยลดลง
-
และนั่นไม่ใช่เรื่องจริง
-
ความน่าจะเป็นอันต่อไปยังคงเหมือนเดิม
-
ความน่าจะเป็นที่ผมจะได้หัวยังเป็น 50%
-
อยู่เสมอ
-
มันไม่ใช่ว่าผมมีหัวหลายอัน
-
แล้วผมจะคาดหวังมันต้องเปลี่ยน
-
ทุกอย่างถูกตั้งขึ้นมาแล้ว มันจึงต้องออกก้อยมากกว่า
-
นั่นคือความหลงผิดของนักพนัน
-
ถ้าคุณได้หัวติดต่อกันมาก หรือคุณ
-
เห็นสัดส่วนประหลาดของจำนวนหัว, ถึงจุดหนึ่ง
-
คุณก็ -- คุณคาดหวังจะมีจำนวนก้อย
-
ที่มีสัดส่วนประหลาดเช่นกัน
-
และมันไม่เป็นความจริง
-
สิ่งที่กฎของจำนวนมากบอกเรา คือว่า มันไม่สนใจ
-
สมมุติว่าหลังจากทดลองไปเป็นจำนวนจำกัด
-
ค่าเฉลี่ยนั้น -- มันเป็นมีโอกาสเกิดขึ้นหน่อย
-
สมมุติว่าค่าเฉลี่ยคุณอยู่ตรงนี้
-
มันอยู่ที่ 70
-
คุณก็บอกว่า, ว้าว, มันห่างจาก
-
ค่าคาดหวังมากทีเดียว
-
แต่สิ่งที่กฎของจำนวนมากบอกเราคือว่า,
-
ผมไม่สนใจว่าจะลองมากี่ครั้ง
-
เรายังเหลือการทดลองอีกเป็นอนันต์
-
และค่าคาดหวังของการทดลองเป็นอนันต์ครั้ง
-
ยิ่งในกรณีนี้แบบนี้ จะเป็นเช่นนี้
-
เมือคุณหาค่าเฉลี่ยของจำนวนจำกัด ซึ่งเฉลี่ยออกมา
-
ได้ค่ามากนั้น, เวลาหาจากจำนวนนับไม่ถ้วน มัน
-
จะเข้าหาค่านี้, แล้วยิ่งคุณทำไป, มันยิ่ง
-
เข้าหาค่าคาดหวังมากขึ้น
-
นั่นคือวิธีบรรยายมันอย่างไม่เป็นทางการ
-
แต่นั่นคือสิ่งที่กฎของจำนวนมากบอกคุณ
-
มันเป็นสิ่งสำคัญ
-
มันไม่ได้บอกคุณว่า ถ้าคุณได้หัว
-
แล้วความน่าจะเป็นที่จะได้ก้อย
-
มันเพิ่มขึ้นเพื่อสู้กับการได้หัว
-
สิ่งที่มันบอกคุณคือว่า, ไม่ว่าจะเกิดอะไร
-
ขึ้นเวลาทดลองจำนวนจำกัด, ไมว่าค่าเฉลี่ยเป็นเท่าไหร่
-
ในการทดลองจำนวนจำกัด, คุณ
-
ยังมีการทดลองเป็นอนันต์เหลืออยู่
-
แล้วถ้าคุณทำมันมากพอ มันจะกลับลู่เข้า
-
ค่าคาดหวังของคุณ
-
นี่คือสิ่งสำคัญที่ควรคิดถึง
-
แต่นี่ไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน กับลอดเตอรี่หรือคาสิโน
-
เพราะเขารู้ว่า ถ้าคุณทดลองมากพอ
-
เราจะสามารถคำนวณ
-
ถ้าคุณทดลองมากครั้งพอ,
-
ว่าความน่าจะเป็นที่สิ่งต่างๆ จะเริ่มแตกต่างออกไปเป็นเท่าไหร่ได้
-
แต่คาสิโนและลอตเตอรี่ทุกวันนี้ ดำเนินการตาม
-
หลักการที่ว่า ถ้าคุณมีคนมากพอ -- แน่นอน
-
ในระยะสั้น หรือในตัวอย่างน้อยๆ,
-
คนบางคนอาจทำเงินได้
-
แต่ในระยะยาว เจ้ามือจะชนะเสมอ
-
เพราะตัวแปรในเกมทำให้
-
คุณเล่นกับเขา
-
เอาล่ะ, นี่คือสิ่งสำคัญในความน่าจะเป็นและผมว่า
-
มันตรงตามสัญชาตญาณทีเดียว
-
แม้ว่า, บางครั้งเวลาคุณเห็นมันถูกอธิบายอย่างเป็นทางการ
-
ด้วยตัวแปรสุ่มและมัน
-
อาจทำให้คุณสับสน
-
สิ่งที่มันบอกคือว่า ยิ่งคุณหาตัวอย่างมากขึ้น มากขึ้น
-
ค่าเฉลี่ยของตัวอย่างจะ
-
ประมาณเท่ากับค่าเฉลี่ยจริง
-
หรือผลควรพูดให้เจาะจงกว่านี้
-
ว่าค่าเฉลี่ยของตัวอย่าง จะลู่เข้า
-
หาค่าเฉลี่ยจริงของประชากร หรือ
-
ค่าคาดหวังของตัวแปรสุ่มนั่นเอง
-
เอาล่ะ, พบกันใหม่ในวิดีโอหน้าครับ