-
ในวิดีโอแล้ว ๆ มา เราเห็นแล้วว่าการดู
-
แค่ market capitalization นั่นทำให้สับสนได้
-
เมื่อคุณดูบริษัทที่มี leverage หน่อย
-
หรือบริษัทที่มีหนี้หน่อย
-
ตัวอย่างเช่น หากนั่นคือสินทรัพย์ของบริษัท และ
-
สมมุติว่าเขามีหนี้เท่านี้
-
และนี่คือ equity ของเขา
-
จากนั้นสมมุติว่าบริษัทมีเงินสดส่วนเกินด้วย
-
เงินสดที่ไม่จำเป็นในการดำเนินธุรกิจ
-
ขอผมเขียนมันตรงนี้
-
นี่คือเงินสดส่วนเกิน
-
เงินสดบางส่วนจำเป็น และบางครั้งผู้คนไม่
-
แบ่งแยกมัน
-
เขาแค่มองมันเป็นเงินสดก้อนเดียว
-
แต่เราอยากแยกมูลค่าของ enterprise
-
จากมูลค่าตามตลาดของ equity หรือ
-
มูลค่าของหนี้
-
งั้นขอผมเขียนทุกอย่างลงไป
-
ดังนั้นตรงนี้ นี่คือมูลค่าของธุรกิจ
-
enterprise value
-
นี่คือหนี้
-
มันมีหนี้ด้วย
-
และนี่คือ equity
-
นี่อาจจะดูไปในทาง
-
เทคนิคหน่อย
-
แต่คุณไม่ต้องกังวลหาก
-
มันทำให้สับสน
-
ตอนผมเขียน enterprise ตรงนี้ มันหมายถึงมูลค่า
-
ของตัวธุรกิจเอง
-
มันเหมือนกันสินทรัพย์ที่ใช้ดำเนินการลัพธ์ หักจาก
-
หนี้สินที่ใช้ดำเนินธุรกิจ
-
มันก็แค่ว่า -- หากคุณกลับไปดูตัวอย่างสองอัน
-
ที่แล้วและซื้อร้านพิซซ่า -- คุณต้องจ่ายเงิน
-
เพื่อซื้อร้านพิซซ่าเท่าไหร่
-
และนั่นคือสิ่งที่เราพยายามหาตรงนี้
-
ตอนที่เราพูดถึง enterprise value
-
และเราเห็นในหลายวิดีโอที่ผ่านมาว่าคุณ
-
คำนวณมันได้อย่างไร แต่มันไม่แย่ที่จะทบทวนกันหน่อย
-
นี่เป็นการคำนวณที่สวนทางกับสัญชาตญาณหน่อย
-
ตอนที่คุณเห็นมันครั้งแรก ๆ มันจึงไม่ผิด
-
ที่จะลองดูอีกครั้ง
-
งั้นสิ่งแรกที่ต้องหาคือว่า คุณจะหา
-
มูลค่าตามตลาดของ equity ได้อย่างไร
-
มูลค่าตามบัญชีของ equity นั้นง่ายมาก
-
คุณก็แค่ไปหาบัญชีงบดุลของบริษัท แล้ว
-
เขาจะมีตัวเลขอยู่
-
เขาจะบอกว่า นี่คือสิ่งที่นักบัญชีของเราบอก
-
ว่ามูลค่าตามบัญชีของ equity เราเป็นเท่านี้
-
แต่มูลค่าตามตลาด จะหาได้จากว่าตลาด
-
ยินดีจ่ายเพื่อหุ้นหนึ่งหุ้นในราคาเท่าไหร่
-
ดังนั้นมูลค่าตามตลาดของ equity หรือ market cap จึงเท่ากับ
-
ราคาต่อหุ้นคูณจำนวนหุ้นนั่นเอง
-
และนั่นคือมูลค่าตามตลาดของ equity
-
และคุณคงเห็น แค่จากแผนภาพนี้ ว่า
-
enterprise value บวก เงินสดที่ไม่ได้ใช้ดำเนินการ หรือ
-
เงินลงทุน หรือเงินลงทุนที่มีสภาพคล่อง หรืออะไรก็ตาม
-
ที่คุณอยากเรียก
-
enterprise value บวกเงินสด เท่ากับ หนี้ บวก
-
เรียกมันว่า market cap แล้วกัน
-
เพราะเราอยากรู้ เมื่อเราดูราคา เราอยาก
-
หาว่า ตลาดบอกว่า
-
enterprise value ของบริษัทเป็นเท่าไหร่
-
มูลค่าตามตลาดของ enterprise เป็นเท่าไหร่
-
ดังนั้นหนี้บวก -- แทนที่จะเป็น equity -- ผมจะเขียน market
-
capitalization แทนเพราะมันคือสิ่งเดียวกัน
-
Market capitalization คือมูลค่าตามตลาดของ equity
-
บวก market cap
-
งั้นเรารู้ market cap
-
เราสามารถหาหนี้ได้จากบัญชีงบดุลของบริษัท
-
เราสามารถหาเงินสด
-
ดังนั้นเราแค่หักเงินสดจากทั้งสองข้าง แล้วเราจะได้
-
enterprise value เท่ากับ market cap
-
บวก หนี้ ลบ เงินสด
-
เราก็แค่เอาเงินสดไปทางขวา
-
ของสมการนี้
-
ตัวอย่างเช่น หากผมมีหุ้นที่ซื้อขายกันที่
-
สมมุติว่าราคาเท่ากับ $10
-
และสมมุตติว่ามันมี 1 ล้านหุ้น
-
และสมมุติว่าบริษัทมีหนี้อยู่ 50 ล้าเหรียญ
-
และสมมติอีกว่ามันมีเงินสดส่วนเกินอีก 5 ล้านเหรียญ
-
ถามว่า enterprise value เป็นเท่าไหร่
-
อืม อย่างแรกคุณต้องหาว่า market cap เป็นเท่าไหร่ก่อน
-
market cap ของมันเท่ากับ $10 ต่อหุ้นคูณหนึ่งล้านหุ้น
-
นั่นคือ 10 ล้านหุ้น
-
นั่นคือ market cap
-
คุณบวกหนี้เข้าไป
-
ดังนั้นบวก $50 ล้าน
-
และอีกที ผมบอกไปในวิดีโอที่แล้วว่า มัน
-
ไม่ตรงตามสัญชาตญาณ ตอนคุณหามูลค่าของ enterprise
-
ด้วยการบวกหนี้เข้าไป
-
และหลักคือว่าหากมีคนอยากซื้อ
-
บริษัทจากผู้ถือหุ้นและปลดหนี้
-
เขาต้องจ่ายหนี้ทั้งหมดให้คนพวกนี้
-
และต้องจ่ายเงินทั้งหมด
-
สำหรับมูลค่าตามตลาดด้วย
-
เขาจึงต้องจ่ายทั้งหนี้บวก equity
-
และเขาจะให้เงินสดบางส่วนคืนมา
-
นั่นคือสิ่งเหลือ ๆ ที่เขาซื้อติดมา
-
จึงได้เงินคืนมาด้วย
-
ดังนั้นคุณต้องจ่ายให้ผู้ถือหุ้น คุณต้องจ่าย
-
ให้ผู้ถือหนี้ แล้วคุณถึงได้เงินสดบางส่วนคืน
-
เพราะฉะนั้น enterprise value จะเป็นเท่าไหร่ $60 ล้านลบ 5
-
ได้ $55 ล้าน
-
ใช้ได้
-
นี่คือการทบทวนวิดีโอเรื่อง enterprise value
-
แต่คำถามคือว่า ตอนนี้ที่คุณหา enterprise
-
value ได้ คุณจะหาว่ามันเป็น enterprise value
-
ที่ถูกต้องได้อย่างไร
-
เมื่อคุณดู market capitalization คุณเปรียบเทียบ
-
มันกับ earnings
-
คือ price to earnings ratio
-
และคุณคิดมันต่อหุ้น
-
นี่คือราคาต่อหุ้น หารด้วย earnings ต่อหุ้น
-
อัตราส่วนนี้เทียบเท่ากับ market cap หารด้วย
-
รายได้ลัพธ์ของบริษัท
-
หากคุณคูณเศษและส่วนด้วย
-
จำนวนหุ้น คุณจะได้ market cap และรายได้ลัพธ์
-
นั่นคือ EPS
-
P/E คือราคาจริงต่อหุ้น หารด้วย
-
earnings ต่อหุ่น
-
และนั่นคือวิธีดูวิธีหนึ่ง
-
คุณสามารถเปรียบเทียบบริษัทสองแห่งได้
-
และเราเห็นว่ามันใช้ไม่ได้หากบริษัทมี
-
โครงสร้างทุนต่างกัน
-
แล้วเราจะเปรียบเทียบ enterprise value กับอะไร
-
ตรงนี้เราใช้ market cap กับรายได้ลัพธ์
-
enterprise value ควรใช้เปรียบเทียบกับอะไร
-
ตอนนี้ผมได้ตั้งข้อสังเกตในวิดีโอที่แล้วว่า อืม หากเรา
-
ดู enterprise ที่สุดแล้วเราควรดู
-
earnings ที่ออกมาจาก enterprise ด้วย
-
เราควรดู earnings ที่ออกมาจาก
-
สินทรัพย์ตรงนี้
-
และในวิดีโอแรก ๆ เกี่ยวกับบัญชีรายได้ ผม
-
บอกว่า -- ลองเขียนบัญชีงบดุลดู--
-
คุณมีรายรับ
-
รายรับคุณอาจเป็น 100
-
คุณมีค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป
-
ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป สมมุติว่าเท่ากับ ลบ 50
-
และผมจะใช้วิธีเขียนอีกอย่างหนึ่ง
-
มีคนเสนอคนหนึ่งบอกว่าผมควรใช้
-
การเขียนแบบนี้
-
ซึ่งเป็นวิธีที่ตกลงกันโดยทั่วไปที่สุดใน
-
บรรดานักบัญชีและนักวิเคราะห์การเงิน
-
แทนที่จะเขียนเป็นลบ เขาจะเขียนมัน
-
ในวงเล็บ
-
นั่นหมายถึงเป็นลบ
-
ลบ 50
-
จากนั้นกำไรรวม (gross profit) จะเท่ากับ 50
-
จากนั้น ที่จริงผมอยากทำอะไร
-
ที่น่าสนใจหน่อย
-
สมมุติว่าค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายนี่ มันไม่เกี่ยว
-
กับค่าเสื่อมราคาหรือค่าแบ่งชำระหนี้ (amortization)
-
ลองดูวิดีโอเก่า ๆ หากคำเหล่านี้ทำให้คุณงง
-
และการเพิ่มราคาและการผ่อนชำระหนี้ทั้งหมด
-
เกิดขึ้นในระดับองค์กร
-
ต่อไปสมมุติว่ามี SG&A นิดหน่อย
-
แต่นี่ไม่มีค่าเสื่อมราคาหรือค่าผ่อนชำระหนี้
-
สมมุติว่านี่คือค่าใช้จ่ายมูลค่า 10
-
สมมุติว่ามีค่าเสื่อมราคาและ
-
ค่าผ่อนชำระหนี้เช่นกัน
-
D&A
-
ในวิดีโอที่แล้วมา ผมรวมมันด้วยกัน
-
และนั่นน่าจะเป็นเช่นนั้น
-
ในบัญชีรายได้ส่วนใหญ่เขาจะไม่แยก
-
ค่าเสื่อมราคากับค่าผ่อนชำระหนี้จากกัน
-
และคุณจะต้องดูบัญชีกระแสเงิน
-
เพื่อหาว่ามันคืออะไร
-
และผมจะทำมันในวิดีโอหน้า
-
แต่สมมุติว่าเราแยกมันออกมา
-
บางครั้งเขาก็ทำกัน
-
งั้นสมมุติว่ามีอีก 5
-
บางทีพวกนี้เป็นหน่วยพันเหรียญ
-
จากนั้นคุณจะเหลือกำไรดำเนินการ
-
ในกรณี จะเท่ากับ 50 ลบ 15 ได้เท่ากับ 35
-
แล้วคุณยังมีสิ่งต่าง ๆ ข้างล่างอีก
-
คุณมีดอกเบี้ย และผมจะทำมันแค่ -- คุณมี
-
รายได้แบบไม่ต้องดำเนินการ และดอกเบี้ย อะไรพวกนั้น
-
ขอผมทำมันออกมา
-
ดอกเบี้ย สมมุติว่ามันเท่ากับ 5,000 เช่นกัน หาก
-
นั่นคือสิ่งที่เราสน
-
จากนั้นคุณจะได้ค่า ก่อนภาษี
-
ผมไม่ได้ใส่รายได้แบบไม่ต้องดำเนินการ
-
สมมุติว่าเงินสดนี่ไม่ได้สร้างอะไรขึ้นมา
-
ดังนั้นรายได้ก่อนภาษีจะเท่ากับ 30,000 หากนั่นคือ
-
สิ่งที่เราทำอยู่
-
มันดูเลอะหน่อย
-
จากนั้นคุณก็มีภาษี
-
สมมุติว่ามันเท่ากับ 1/3
-
นั่นคือภาษีมูลค่า 10,000
-
จากนั้นคุณจะได้ earnings
-
30 ลบ 10 ได้ 20,000
-
อย่างที่ผมบอก ส่วนไหนของบัญชีรายได้
-
ที่ขึ้นอยู่กับส่วนนี้ตรงนี้เท่านั้น?
-
มีของนี่ที่เกี่ยวกับดอกเบี้ย นั่น
-
ขึ้นอยู่กับหนี้
-
และในที่สุดแล้ว ภาษีก็ยังขึ้นกับหนี้ด้วย
-
เพราะยิ่งคุณมีดอกเบี้ยเท่าไหร่ คุณ
-
ยิ่งลดหย่อนภาษีได้
-
และทั้งหมดข้างล่างนี้ขึ้นอยู่กับ
-
โครงสร้างทุนของคุณ
-
ดังนั้นหากคุณอยากดูว่า enterprise value ได้
-
สร้างอะไรขึ้นมา มันก็สร้างกำไรดำเนินการ
-
ดังนั้นผมจึงเสนอว่า อัตราส่วนที่ดี ถึงแม้มัน
-
จะไม่ตามสูตรเดิมเท่าไหร่
-
มันไม่ได้ไม่ตามแนวเดิมนัก แต่คุณอาจ
-
ไม่ค่อยได้ยินใครพูดเท่าไหร่
-
ผมบอกว่า คุณสามารใช้ EV เทียบกับกำไรดำเนินการ
-
เป็นตัววัดได้
-
ในหลายกรณีมันคือส่วนกลับของผลตอบแทน
-
จากสินทรัพย์ หากที่ผมนิยามในวิดีโอแรก
-
มันมีนิยามผลตอบแทนจากสินทรัพย์หลายแบบ
-
แต่ที่สุดแล้ว มันบอกว่า สำหรับทุกดอลลาร์ของ
-
กำไรดำเนินการ คุณต้องจ่ายเท่าไหร่ให้ enterprise
-
ซึ่งผมว่ามันเป็นตัววัดที่ดีทีเดียว
-
ตอนนี้ตัววัดตามแบบทั่วไปที่คุณเห็น
-
ตอนคนพูดถึง enterprise values นั้น
-
คือ enterprise value หาร EBITDA
-
และหากคุณได้งานเป็นนักวิเคราะห์ในบริษัท
-
นี่จะเป็นสิ่งที่คุณจะถูกคาด
-
หวังให้คำนวณให้บริษัท
-
และหวังว่าจะพูดถึงมันอย่างฉลาด
-
ดังนั้นคำถามแรก ก่อนที่พูดถึงมันอย่างฉลาด
-
คือว่า EBITDA คืออะไร
-
EBITDA คือ Earnings ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา
-
และค่าผ่อนชำระหนี้
-
ลองดูว่ามันเป็นเท่าไหร่ตรงนี้
-
มันคือรายได้ก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา
-
และค่าผ่อนชำระหนี้
-
มันคือก่อนอะไรพวกนี้
-
ที่จริง ลองเปรียบเทียบมันกับ
-
สิ่งที่เราเคยทำมาก่อน
-
งั้นคุณมี EBITDA
-
แล้วก็มี EBIT
-
EBIT คือ Earnings ก่อนดอกเบี้ยและภาษี
-
งั้น EBIT ก็คือ earnings
-
คุณบวกภาษีและดอกเบี้ยกลับไป คุณจ
-
ได้กำไรดำเนินการ
-
และผมได้พูดถึงมันมาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่แยก
-
กำไรดำเนินการกับ EBIT จากกันคือว่า EBIT
-
อาจรวมรายได้แบบไม่ต้องดำเนินการ ซึ่ง
-
ผมไม่ได้ใส่ในนี้
-
แต่หากเงินสดนี่สร้างกำไรที่
-
ไม่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการ มัน
-
ก็นับอยู่ใน EBIT
-
แต่มันไม่ใช่กำไรดำเนินการ
-
แต่มันก็ใกล้เครียงหากเราพูดถึง
-
ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่ไม่ใช่ด้านการเงิน
-
ดังนั้นนี่คือ EBIT
-
และหากคุณอยากได้ EBITDA คุณก็แค่บวก
-
ค่าเสื่อมราคาและค่าผ่อนชำระหนี้กลับเข้าไป
-
ดังนั้น EBITDA จะเป็นตรงนี้
-
ดังนั้น EBIT เท่ากับ 35,000
-
หากคุณบวกมันกลับไป มันจะเท่ากับ 40,000
-
ดังนั้น EBITDA ในกรณีนี้เท่ากับ 40
-
และหากหน่วยผมคือ หลักพัน มันจะเท่ากับ 40,000
-
คำถามคือว่า ทำไมคนถึงสนใจ EBITDA
-
ทำไมถึงใช้ EBITDA แทนที่จะเป็นกำไรดำเนินการ
-
และตรรกะคือว่าค่าเสื่อมราคาและค่าผ่อนชำระหนี้
-
และเราพูดถึงมันในวิดีโอเรื่องค่าเสื่อมราคาและ
-
ค่าผ่อนชำระหนี้แล้วว่า มันเป็นค่าใช้จ่ายที่กระจายตัว
-
ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่เงินสดที่ออกจากประตูในช่วงเวลานั้น
-
เราเห็นว่ามันคือค่าเสื่อมราคาและค่าผ่อนชำระหนี้
-
บางที อาจเป็น ผมซื้อของ $100 หรือ $100,000
-
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
-
และทุกปีผมคิดค่าเสื่อมราคา 1/20 ของราคาเต็ม
-
แต่เงินสดออกจากกระเป๋าไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
-
ดังนั้นค่าเสื่อมราคาและค่าผ่อนชำระหนี้ในช่วงเวลานี้
-
จึงไม่จำเป็นต้องเป็นเงินที่ออกจากประตูตอนนี้
-
ที่จริง มันไม่ใช่เงินที่ออกจากประตู
-
เราจะพูดถึงในวิดีโอหน้าว่าคุณจะหาว่า
-
อะไรที่เงินสดที่ออกไปในช่วงเวลาหนึ่ง
-
ดังนั้นมันจึงถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสด
-
งั้นตอนที่คุณหา EBITDA ตอนคุณบวกภาษีกลับมา
-
คุณบวกดอกเบี้ยกลับมา และบวกค่าเสื่อมราคากับ
-
ค่าผ่อนชำระหนี้กลับมา
-
สิ่งที่เหลือที่สุดแล้ว คือเงินสดแท้ ๆ
-
ที่ enterprise สร้างออกมา
-
คนส่วนใหญ่สนใจมันเพราะนี่คือ
-
ตัวบ่งชี้ ศักยภาพของบริษัท
-
ในการทำสิ่งต่าง ๆ
-
เพื่อทำสิ่งต่าง ๆ เช่นการจ่ายดอกเบี้ย จ่ายภาษี หรือ
-
ลงทุนในธุรกิจด้วยตนเอง
-
หรืออีกวิธีคิดนึงคือว่า หากคุณดู EV ต่อ EBITDA
-
คุณกำลังบอกว่าทุกดอลลาร์ของเงินสดแท้ที่
-
บริษัทสร้างขึ้นมาได้
-
สมมุติว่าผมไม่ได้ลงทุนซ้ำในธุรกิจ
-
หรือซื้อเครื่องมือใหม่
-
หากมันเป็นแค่เงินดิบ ๆ ผมจะต้องจ่าย
-
เท่าไหร่ให้ enterprise
-
และกฏง่าย ๆ ทั่วไป เราจะทำอีกที
-
ในอนาคต
-
ผมว่าผมได้ใช้เวลาตามปกติหมดแล้ว
-
สำหรับธุรกิจที่นิ่งมาก ง่าย ๆ ไม่โตไม่หด
-
ห้าเท่าของ EBITDA ถือเป็นค่าที่ดี
-
แต่่สิ่งที่สำคัญคือว่า บริษัทอื่นในอุตสาหกรรมนั้น
-
ซื้อขายกันที่เท่าไหร่
-
และอัตราส่วนพวกนี้จะดีกว่าหาก
-
ใช้เป็นตัววัดมูลค่าเชิงเปรียบเทียบ
-
ในอนาคต ผมจะแสดงให้ดูว่าจะทำอย่างไรกับ
-
discounted cash flow หรือการวิเคราะห์ discounted free cash flow
-
หรือ dividend discount model หรืออะไรพวกนั้น คุณจะได้
-
หาว่ามูลค่าสัมบูรณ์เป็นเท่าไหร่
-
แต่ตอนคุณดูที่ตลาดสาธารณะ ตอน
-
คุณเลือกซื้ออะไรบางอย่าง โดยนัยแล้วคุณกำลัง
-
เลือกไม่ซื้ออย่างอื่นไปในตัว
-
เมื่อคุณเลือกขายอะไรสักอย่าง คุณก็กำลัง
-
เลือกไม่ขายอย่างอื่นเช่นกัน
-
ดังนั้นมูลค่าเปรียบเทียบจะเริ่มสำคัญมากขึ้น
-
เอาล่ะ หวังว่าคุณจะเห็นว่ามีประโยชน์นะ