-
ผมพบแล้วว่า หากอยากรู้เกี่ยวกับสิ่ง
-
ที่คนส่วนใหญ่สนใจที่สุดเมื่อเขาวิเคราะห์บริษัท
-
ล่ะก็ คุณต้องรู้จักบัญชีรายได้ (income statement)
-
และบัญชีรายได้นั้นเป็นหนึ่งในสามบัญชี
-
ทางการเงินที่คุณควรดู เมื่อศึกษาบริษัทนั้น
-
มันมีบัญชีรายได้ และอีกสองอันคือ บัญชี
-
งบดุล ซึ่งผมได้วาดหลายครั้งใน
-
ที่ผมอธิบายเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจ
-
และอื่น ๆ
-
และที่จริงแล้ว ในวิดีโอ เราจะเห็นว่า
-
บัญชีรายได้สัมพันธ์กับบัญชีงบดุลอย่างไร
-
และแน่นอนว่า อันสุดท้าย -- และไม่ "แน่นอน" หาก
-
คุณไม่รู้ว่ามาก่อน -- คือบัญชีกระแสเงินสด (cash flow statement)
-
และเราจะสนใจมันทีหลังเพราะ
-
มันแตกต่างออกไปเมื่อเทียบกับ
-
บัญชีรายได้
-
บัญชีรายได้ก็ตามชื่อเลย คือ บอกว่า
-
บริษัททำเงินได้เท่าไหร่ในช่วงเวลาที่กำหนด และ
-
มันเกี่ยวกับช่วงเวลาเสมอ
-
มันอาจจะเป็นบัญชีรายได้ประจำปี
-
อาจเป็นของปี 2008
-
มันอาจเป็นบัญชีรายได้ทุกไตรมาส
-
นั่นคือสองแบบที่คุณเจอ แต่
-
บางครั้ง มันเป็นรายเดือน หรือรายหกเดือน
-
และรูปแบบทั่วไปมักจะเหมือนกัน แม้ว่า
-
จะมีรายละเอียดต่างกันขึ้นอยู่กับว่าบริษัททำ
-
อะไร แต่ในวิดีโอนี้ ผมอยากจะพูดคลุม
-
แค่บัญชีรายได้ธรรมดาสำหรับบริษัท
-
ที่แค่ขายเครื่องมือสักอย่าง
-
ดังนั้น สิ่งแรกเมื่อคุณขายเครื่องมือ คือ คุณสร้างมัน
-
แล้วก็ขาย
-
คุณขายเครื่องมือ
-
คุณให้เครื่องมือแก่ลูกค้า แล้วเขาก็จะจ่ายเงินให้คุณ
-
และเงินที่เขาให้คุณ -- ผมจะไม่ลง
-
รายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับบัญชีตอนนี้ -- นั้น
-
นับว่าเป็น รายรับ (revenue)
-
บางครั้งเรานับว่าเป็น รายได้จากการขาย (sales)
-
และตามชื่อมัน คือ เงินที่เขาให้คุณ
-
ในช่วงเวลาหนึ่ง
-
และนักบัญชีของคุณก็บอกว่า อย่างเช่น
-
ไม่ นั่นไม่ใช่เงินที่เขาให้คุณ
-
มันคือเงินที่คุณได้ในช่วงเวลา
-
หนึ่ง และนั่นก็จริง
-
แต่สำหรับเราตอนนี้ สมมุติว่าเมื่อคุณให้
-
เครื่องมือไป คุณก็ได้เงินที่เขาให้มา
-
และนั่นคือ รายรับจากการขาย
-
ต่อไป เราจะพูดถึงวิธีต่าง ๆ ที่จะนับ
-
รายรับและการขาย
-
งั้นสมมุติว่ารายรับ หรือการขาย ในกรณี ในช่วงเวลาที่กำหนด
-
สมมุติว่านี่คือบัญชีรายได้
-
ในปี 2008
-
ตลอดปี 2008 เราขายเครื่องมือได้ เช่น 3
-
ล้านเหรียญ
-
สมมุติว่าเป็น 3 ล้านเหรียญ
-
และหลายครั้งที่คุณดูที่บัญชีรายได้สำหรับ
-
บริษัท หากคุณไปที่ Yahoo!
-
Finance คุณสามารถทำได้ตอนนี้เลย แทนที่จะ
-
เขียน $3 ล้าน คุณจะเห็น $3,000 แทน
-
มันเหมือนกับ โอ้ พระเจ้า!
-
บริษัทนี้ เขาแทบขายอะไรไม่ได้เลย
-
แต่มันเหมือนกับมาตรฐานที่พวกเขามักเขียนสิ่งต่าง ๆ
-
ในหน่วย หนึ่งพัน
-
ดังนั้น 3,000 จะหมายถึง 3,000 พัน
-
ก็คือ 3 ล้านนั่นเอง
-
และสำหรับบริษัทที่ใหญ่จริง ๆ เขามักจะเขียน
-
ตัวเลขในหน่วย หนึ่งล้าน
-
ดังนั้นหากคุณเห็น 3,000 ตรงนั้น มันอาจหมายถึง 3 พันล้าน
-
แต่ที่จริง เรามักจะดูบัญชีรายได้จริง
-
ในอนาคตที่ไม่ไกลนัก
-
นั่นคือเงินที่เขาให้เรามา
-
แต่นั่นไม่ใช่รายได้ที่เราหากได้ เพราะมันมี
-
ราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อสร้าง
-
เครื่องมือขึ้นมาอีก
-
มันไม่เหมือนกับตอนที่มีคนให้เงินผม 3 ล้านเหรียญ ผมสามารถ
-
พูดว่า โอ้ ผมทำเงินได้ 3 ล้าเนเหรียญ
-
งั้นผมเอาเงินไปฝากธนาคารแล้วกัน
-
เสร็จแล้ว
-
ทั้งหมดนั่นคือรายได้
-
ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณมักเห็นในบัญชี
-
รายได้คือ ค่าใช้จ่ายสำหรับเครื่องมือเหล่านั้น ค่าใช้จ่าย
-
สำหรับผลิตเครื่องมือ นั่นเอง
-
และผมจะใส่ค่าใช้จ่ายทั้งมหดในสีบานเย็น
-
บางครั้ง เราจะเขียนมันเป็น ค่าใช้จ่ายสำหรับการขาย (cost of sales)
-
หรือค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ขายไป
-
และตามชื่อของมัน -- อืม ที่จริงมีสองอย่าง
-
มันมีค่าใช้จ่ายแปรผัน ซึ่งก็คือ ในแต่ละชิ้น มัน
-
ต้องใช้ปริมาณโลหะเท่า ๆ กัน และพลังงาน
-
ในการผลิต และสีหาก
-
เครื่องมือนั้นทาสีด้วย
-
และราคาของสินค้านั้นก็คือ เงินที่ต้องใช้
-
ซื้อโลหะ สี และ
-
ไฟฟ้าที่ใช้ผลิตเครื่องมือมูลค่า 3 ล้านเหรียญนั่น
-
แต่นั่นคือค่าใช้จ่ายแปรผัน นอกเหนือจากนั้น คุณยังมี
-
ราคาคงที่ (fixed costs) หรือ ค่าใช้จ่ายคงที่สัมพัทธ์ ที่
-
ต้องใช้ตอนเปิดโรงงาน มันต้องใช้
-
เงินจำนวนหนึ่งทุกปี ไม่ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะผลิตเครื่องมือได้กี่ชิ้น
-
และเราจะลงรายละเอียดอีกที แต่เพื่อให้ง่าย
-
สมมุติว่าค่าใช้จ่ายรวมในการผลิต
-
เครื่องมือพวกนั้นเท่ากับ 1 ล้านเหรียญ
-
บางครั้ง บางคนบอกว่ามันมีราคา 1 ล้านเหรียญ เมื่อ
-
ผมทำโมเดลขึ้นมา ผมชอบใส่เครื่องมือลบไว้ เพื่อให้ผม
-
จำได้ว่ามันคือค่าใช้จ่าย อะไรก็ตามที่หัก
-
จากรายได้ ผมจะใส่เครื่องหมายลบไว้
-
อะไรที่บวกเข้าไปคือ บวก แม้ว่านั่น
-
จะไม่ใช่วิธีมาตรฐานก็ตาม
-
บางคนบอกว่า โอ้ นั่นคือค่าใช้จ่ายมูลค่าบวก 1 ล้านเหรียญ
-
ซึ่งหมายความว่า คุณต้องลบทิ้ง
-
แต่ไม่ว่าอย่างไร ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจ
-
จากนั้นหากคุณลบค่าใช้จ่ายของคุณจากรายรับ หรือ
-
หากคุณบวกเลขสองตัวนี้ เพราะอันนึงเป็นลบ
-
คุณจะได้กำไรขั้นต้น (gross profit)
-
และในกรณีนี้ มันเท่ากับ 2 ล้านเหรียญ
-
และเลขนี้บอกคุณว่า คุณทำเงินได้เท่าไหร่
-
หรือ กำไรที่คุณได้จากการขาย
-
เครื่องมื่อเหล่านั้น เป็นเท่าไหร่
-
ดังนั้น ยิ่งขายเครื่องมือได้มากเท่าไหร่ ในภาวะส่วนใหญ่
-
เลขนี้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
-
ดังนั้นนี้คือ กำไรของคุณก่อนที่จะหักค่าใช้จ่าย
-
อื่น ๆ ที่บริษัทต้องจ่าย เช่น ภาษี
-
และเงินเดือน CEO
-
เงินเดือน CEO ไม่ได้รวมในนั้น จริงไหม
-
เพราะว่า CEO ไม่ได้เข้าไปในโรงงานโดยส่วนใหญ่
-
หรือผลิตเครื่องมือขึ้นมา
-
ดังนั้นเงินของ ซีอีโอ หรือ เงินเดือนหัวหน้าฝ่ายการเงิน (CFO) หรือ
-
สำนักงานใหญ่บนตึกระฟ้าสวย ๆ นั่นไม่ได้
-
นับอยู่ในนี้
-
หรือค่าใช้จ่ายการตลาด จริงไหม
-
คุณต้องบอกผู้คนว่า เฮ้ เราทำเครื่องมือดีนะ
-
ทั้งหมดนี้ไม่ได้รวมอยู่ในนี้
-
ดังนั้นมันจะอยู่ในบรรทัดถัดไป
-
และบ่อยครั้ง คุณจะเห็นมันแยกออกมา โดยที่พวกมัน
-
จะมีค่าใช้จ่ายการตลาดด้วย
-
บางครั้งคุณต้องจ่ายให้คนขายของ ดังนั้นคุณอาจ
-
ค่าใช้จ่ายจากการขาย จากนั้นยังมีเช่น
-
เงินเดือนซีอีโอ และสำนักงานองค์กร และคุณต้องจ้าง ผู้ตรวจตรา
-
นักบัญชี และอื่น ๆ พวกนั้น
-
นั่นอาจจะรวมเป็น ค่าใช้จ่ายทั่วไป
-
ที่จริง ผมควรเขียนมันด้วยสีบานเย็น เพราะ
-
มันเป็นค่าใช้จ่าย
-
การตลาด ฝ่ายขาย จากนั้นก็ G&A ที่คุณอาจเห็นบางครั้ง
-
บางครั้งคุณจะเห็น SG&A
-
G&A ย่อมาจากค่าใช้จ่ายทั่วไป และบริหาร (general and administrative expenses)
-
หากคุณเจอ SG&A -- บางครั้งแทนที่เห็น G&A คุณจะเห็น
-
SG&A แทน -- มันหมายถึง ค่าใช้จ่าย การขาย
-
ทั่วไป และบริหาร
-
การขาย หมายถึง อย่างเช่น มันอาจะเป็นค่าคอมมิชชัน
-
ที่ฝ่ายขายได้ไป
-
หรืออาจเป็นค่าใช้จ่ายที่ฝ่ายขายใช้เดินทาง
-
ทั่วประเทศและพาคนไปกินสเต๊กมื้อเย็น
-
จากนั้น ทั่วไปและบริหาร นั่นก็แค่
-
สิ่งที่ออฟฟิศขององค์กรทำ และคน
-
ทั้งหมดที่อยู่ในระดับนั้น
-
ดังนั้น หากคุณลบพวกนี้ออก และผมจะมั่วเลข
-
ขึ้นมา
-
สมมุติว่า ในฝ่ายการตลาด ปริษัทใช้เงินไป $500,000
-
และผมใส่มันเป็นลบเพราะผมชอบจำ
-
ว่ามันเป็นค่าใช้จ่าย
-
ในบางโมเดลคุณจะเห็น เขาบอกว่า
-
มันคือค่าใช้จ่าย $500,000
-
การขาย สมมุติว่า นี่คือแค่ G&A ตรงนี้
-
ผมอยากเขียนบรรทัดใหม่แยกสำหรับการขาย
-
ดังนั้นสมมุติว่า การขาย ค่าใช้จ่ายสำหรับการขายเท่ากับ $200,000
-
และสมมุติว่า G&A สำนักงานองค์กรและพวกนั้นทั้งหมด
-
ใช้เงินไปอีก $300,000
-
และตอนนี้ เราก็พร้อมจะหาว่าการดำเนิน
-
ธุรกิจนี้ทำเงินได้เท่าไหร่กันแน่
-
และนี่คือ กำไรดำเนินการ (operating profit)
-
และนี่คือ สิ่งสำคัญที่ควรสนใจ เพราะ
-
คนมากมายบอกว่า โอ้ บริษัททำเงินได้ตั้งขนาดนี้
-
และคุณได้ยินเลขพวกนี้ กำไรขั้นต้น และกำไรดำเนินการ
-
กำไรลัพธ์ และกำไรก่อนคิดภาษี และมันยากที่
-
จะเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่แตกต่างกันมาก ๆๆ
-
เพราะมันมีคำว่า "กำไร" ทั้งหมด แต่
-
คำว่า ขั้นต้น หรือ ดำนเนินการ และอื่น ๆ หมายความว่าอย่างไร
-
แต่ตอนนี้คุณเห็นแล้วว่ามันหมายถึงสิ่งที่ต่างกันมาก ๆๆ
-
ลองคำนวณเลขพวกนี้ก่อนที่ผมจะ
-
แตะเรื่องความแตกต่างระหว่าง
-
กำไรขั้นต้นกับกำไรดำเนินการ
-
ลองดูกัน 2 ล้าน ลบ 1 ล้าน
-
หัวผมคงคิดไว้แล้ว
-
ให้เลขมันออกมาสวย
-
ดังนั้น กำไรดำเนินการตรงนี้ คือ 1 ล้านเหรียญ
-
ดังนั้นเราได้ค่ากำไรใหม่ที่ต่างออกไป
-
ผมทำเงินได้ 2 ล้านเหรียณจากการขายเครื่องมือไป แต่
-
จากนั้นผมก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายอื่นของบริษัท
-
ฝ่ายตลาด การขาย ค่าทั่วไปและบริหาร
-
สุดท้ายผมเหลืออยู่ 1 ล้านเหรียญ
-
และนี่คือกำไรจากการดำเนินบริษัท
-
หรือคุณอาจบอกว่ามาจากสินทรัพย์ หรือจากธุรกิจ
-
หรือจากองค์กรของบริษัท
-
และนี่คือสิ่งที่มันสร้างขึ้นมาได้
-
แต่เราเห็นได้ว่า -- ผมวาดบัญชีงบดุลหลายอันมาแล้ว
-
และผมว่านี่คือเวลาเหมาะที่จะวาดอีกอันนึง
-
ตอนนี้คุณมีประมาณว่า สินทรัพย์ของบริษัท
-
และเราจะพูดถึงเรื่องสินทรัพย์และ
-
มูลค่าองค์กรอีกหน่อย และมันมีข้อแตกต่างอีก
-
แต่ท้ายที่สุดก็คือ บริษัท นั่นเอง
-
ตอนคุณจะคิดว่า บริษัทได้รับเงินมา
-
อย่างไร หรือคุณแค่คิดเกี่ยวกับตัวองค์กรเอง
-
เอาล่ะ สินทรัพย์
-
สินทรัพย์สร้างนี่ขึ้นมา
-
มันกำลังสร้างกำไรดำเนินการ และนั่น
-
คือสิ่งสำคัญที่จะต้องนึกถึงในอนาคต เมื่อเรา
-
พูดถึงผลตอบแทนจากสินทรัพย์
-
ที่จริง เราพูดถึงตอนนี้เลยก็ได้
-
สมมุติว่า สินทรัพย์ของเรา หากเราจ่าย 10 ล้านเหรียญสำหรับ
-
สินทรัพย์ และสินทรัพย์เหล่านี้ -- นี่คือบัญชีรายได้
-
สำหรับปี 2008 -- แบ่งออกไป 1 ล้านเหรียญต่อปี หรืออย่างน้อย
-
1 ล้านเหรียญในปีนี้ ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ -- ผมไม่
-
ได้วางแผนจะแนะนำอันนี้ แต่มันไม่แย่ที่จะ
-
พูดถึงมันตอนนี้ -- ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (return on asset) ของเรา
-
มักจะเขียนย่อว่า ROA จะเป็น -- ตัวเศษคือ
-
ผลตอบแทน นั่นคือ 1 ล้านเหรียญ
-
ตัวส่วนคือ สินทรัพย์ 10 ล้านเหรียญ
-
ดังนั้นเราได้ผลตอบแทน 10% จากสินทรัพย์
-
ดังนั้นจากการลงทุน 10 ล้านเหรียญ เราจะได้
-
1 ล้านเหรียญต่อปี
-
เราจะได้ 10% ของสินทรัพย์ที่ลงทุนคืนทุกปี
-
และนั่นคือสิ่งที่ดีที่คุณควรเก็บไว้ในหัว หลักการ
-
เรื่องผลตอบแทนจากสินทรัพย์นี้ และมันก็ผูกกับเรื่อง
-
กำไรดำเนินการและสินทรัพย์ที่แท้ของบริษัทด้วย
-
สิ่งที่เราเรียน และโดยเฉพาะหากคุณดู
-
วิดีโอเศรษฐศาสตร์อื่น ๆ ขผงม ที่บริษัททั้งหมด
-
ไม่ได้บริหารเงินเหมือนกัน
-
บริษัทหลายแห่งอาจมีหนี้อยู่
-
ดังนั้นสมมุติว่าบริษัทมีสินทรัพย์อยู่ 10 ล้านเหรียญ แต่
-
สมมุติว่าเขาต้องจ่ายหนี้ 5 ล้านเหรียญด้วย
-
และสมมุติว่าอัตราดอกเบี้ยของหนี้นั้น -- ขอผม
-
คิดเลขดี ๆ หน่อย -- 5%
-
ทำให้ง่ายกว่านี้หน่อย
-
สมมุติว่าเป็นดอกเบี้ย 10%
-
ดังนั้นนี่คือ กำไรดำเนินการ
-
นี่คือเงินที่ออกมาจากตัวสินทรัพย์เอง
-
แต่ แน่นอน มันไม่ใช่เงินที่เราได้
-
กลับบ้าน เพราะเราต้องจ่ายดอกเบี้ย ดังนั้นลอง
-
ใส่มันลงไปเป็นค่าใช้จ่ายหนึ่ง
-
ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
-
และแน่นอน บริษัทที่ไม่มีหนี้ ก็ไม่ต้อง
-
จ่ายค่าใช้จ่ายหนี้ แต่ในกรณีนี้ เราต้องจ่าย
-
และนี่คือบัญชีรายได้ประจำปี
-
สมมุติ หากเรามีหนี้ 5 ล้านเหรียญ และเรา
-
ต้องจ่าย 10% ของมัน 10% ของ $5 ล้านเท่ากับ $500,000 ต่อปี
-
สำหรับดอกเบี้ย ดังนั้นเราต้องจ่ายครึ่งหนึ่งของ
-
กำไรดำเนินการให้กับธนาคาร
-
และตอนนี้เราก็เหลือ -- เราเข้าใกล้สิ่ง
-
ที่เราต้องไปให้ถึงแล้ว -- รายได้ก่อนภาษี
-
และหากเราลบเลข เราอยู่ที่ $500,000
-
และคุณคงเดาได้ว่า บรรทัดต่อไปก็คือ
-
เมื่อกำหนดว่านี้คือ ก่อนภาษี
-
นี่คือสิ่งที่เจ้าของบริษัทได้ก่อนที่จะจ่าย
-
บางส่วนให้รัฐ
-
ดังนั้นคุณคงเดาได้ว่าบรรทัดต่อไปคืออะไร
-
มันต้องเป็น ภาษี
-
สมมุติว่าอัตราภาษีนิติบุคคลเป็น 30% และคุณ
-
ก็ต้องเอา 30% ของเลขนี้ตรงนี้
-
30% ของเลขตรงนี้
-
ดังนั้น 30% ของ $500,000 เท่ากับ $150,000
-
เสร็จแล้ว
-
สุดท้ายเราก็จ่ายทุกคนที่เราต้องจ่ายหมด
-
ดังนั้นเราเริ่มด้วย 3 ล้านเหรียณข้างบนนั้น
-
เราจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากนั้น
-
เราเหลือเท่าไหร่
-
นี่คือ $350,000 เป็นรายได้ลัพธ์ (net income)
-
และนี่คือสิ่งที่เหลือให้เจ้าของบริษัท
-
นี่คือรายได้ลัพธ์ตรงนี้
-
ดังนั้น กลับไปที่บัญชีงบดุล เรามีสินทรัพยื
-
อยู่ 10 ล้านเหรียญ และหนี้ 5 ล้านเหรียญ
-
เรารู้ว่าสิ่งที่เหลือคือ equity
-
ขอผมเลือกสีสว่าง ๆ หน่อย
-
equity คือสิ่งที่เหลือ
-
สมมุติว่านี่คือมูลค่าตามบัญชีทั้งหมด
-
ดังนั้นเรามี equity อยู่ 5 ล้านเหรียญ
-
และเมื่อผมบอกว่า มูลค่าตามบัญชี มันก็คือวิธีพูดหรู ๆ
-
ของสิ่งที่นักบัญชีบอกเราว่าเราจ่าย
-
สำหรับเรื่องพวกนี้
-
นี่คือสิ่งที่เรามีในบัญชี
-
และเราจะพูดถึงเรื่องการลดค่าและค่าตัดจำหน่าย
-
และเราอาจเปลี่ยนค่าเหล่านี้ได้อย่างไร แต่
-
เพื่อให้ง่าย หากเราออกไปซื้อพวกนี้
-
10 ล้านเหรียญ คุณก็เขียนลงในบัญชี ว่า ฉันมี
-
สินทรัพย์ 10 ล้านเหรียญ
-
และหากคุณกู้เงินมา 5 ล้านเหรียญ สิ่งที่คุณ
-
เป็นเจ้าของจริง ๆ หากคุณขายสินทรัพย์ไป คุณจะ
-
ได้ equity 5 ล้านเหรียญ
-
และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ
-
เมื่อเราคิดผลตอบแทนจากสินทรัพย์ เราดูที่
-
กำไรดำเนินการ เพราะนี่คือสิ่งที่บริษัทสร้างได้
-
ก่อนที่เราจะจ่ายธนาคาร หรือ ลุงแซม หรือ ใครก็ตามพวกนั้น
-
และเราจะเอาเลขนี้มาเป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วย
-
จำนวนสินทรัพย์
-
ตอนนี้เราจะตั้งอีกนิยามนึง และนั่นคือ ผลตอบแทนจาก equity
-
และผลตอบแทนจาก equity ตัวตั้งคือ รายได้ลัพธ์
-
ที่เราได้ นั่นคือ $350,000
-
และตัวหารตรงนี้คือ equity หรือมูลค่าตามบัญชีของ
-
equity เรา เท่ากับ 5 ล้านเหรียญ
-
หนึ่ง สอง สาม
-
หนึ่ง สอง สาม
-
ตัดศูนย์พวกนี้ออกู
-
ดังนั้นจะได้ 35/500
-
35/500 นั้นเท่ากับ 7/100 ดังนั้นเท่ากับ
-
ผลตอบแทนเทียบ equity 7%
-
และมันน่าสนใจเพราะ สาเหตุที่มันน้อยลง
-
-- อืม ผมไม่อยากลงลึกเกินไป
-
เพราะผมรู้ว่าผมใช้เวลาเกินแล้ว
-
แต่ ณ จุดนี้ คุณควรเข้าใจดี
-
ถึงอย่างน้อย บัญชีรายได้พื้นฐานของบริษัทที่
-
ขายเครื่องมือ
-
และในอนาคต เราจะดูบริษัทอื่น ๆ
-
เช่น บริษัทการเงิน ประกัน
-
สายส่งก๊าซธรรมาชาติ ที่จะ
-
มีบัญชีรายได้ที่ต่างออกไปมาก แต่
-
นี่ให้คุณเห็นรูปแบบทั่วไปว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร
-
และอย่างน้อยมันจะทำให้คุณเข้าใจว่า รายรับ
-
กำไรขั้นต้น กำไรดำเนินการ รายได้ก่อนภาษี และรายได้ลัพธ์
-
นั้นต่างกันจริง ๆ
-
หลายครั้งในสื่อยอดนิยาม
-
พวกเขาใช้คำปนเป ว่าบริษัทโน่น
-
ทำเงินได้เท่านี้
-
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมจะพบคุณใหม่ในวิดีโอหน้าครับ